"ซึ่งพระเจ้าได้ผูกพันไว้แล้ว อย่าให้ผู้ใดบังอาจแยกเขาทั้งสองออกจากกัน"
เป็นประโยคที่เรามักได้ยินเสมอในงานแต่งงานของคริสเตียน ซึ่งการแต่งงานฝ่ายโลกเป็นภาพสะท้อนของสิ่งที่่ลึกซึ้งกว่านั้น โดย อ.เปาโลได้เปิดเผยไว้ในเอเฟซัส 5:31-32 ว่า "เพราะเหตุนี้ผู้ชายจึงจะละบิดามารดาของตน ไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน ความจริงที่ฝังอยู่ในข้อนี้สำคัญ ส่วนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเข้าใจว่าหมายถึงพระคริสต์และคริสตจักร"
แท้จริงเราผู้เชื่อได้ตายจากสามีเก่าซึ่งคือธรรมบัญญัติ แล้วมาตกเป็นของสามีใหม่คือพระคริสต์ ดังใน โรมบอกไว้ "เช่นนั้นแหละ พี่น้องทั้งหลาย ท่านทั้งหลายได้ตายจากธรรมบัญญัติทางพระกายของพระคริสต์ เพื่อท่านจะตกเป็นของผู้อื่น คือของพระองค์ผู้ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตายแล้ว เพื่อเราทั้งหลายจะได้เกิดผลถวายแด่พระเจ้า" โรม [7:4]
"Wherefore, my brethren, ye also are become dead to the law by the body of Christ; that ye should be married to another, even to him who is raised from the dead, that we should bring forth fruit unto God." - Rom 7:4
ดังนั้นแท้จริงบัดนี้เราเป็นเจ้าสาวของพระคริสต์แล้ว ได้แต่งงานกับพระองค์แล้ว และเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว รอก็แต่ผลแห่งความสัมพันธ์นี้ (ผลพระวิญญาณฯ) ที่จะค่อย ๆ ปรากฎออกมาอย่างแน่นอนเท่านั้น
เมื่อเป็นดังนั้น "ซึ่งพระเจ้าได้ผูกพันไว้แล้ว อย่าให้ผู้ใดบังอาจแยกเขาทั้งสองออกจากกัน" จึงกลายเป็นสิ่งที่สำคัญ
คราวนี้อะไรล่ะที่จะสามารถแยกเราจากพระคริสต์ได้ ในกาลาเทีย 5:4 ได้กล่าวไว้ว่า "ท่านทั้งหลายที่ปรารถนาจะถูกชำระให้ชอบธรรมโดยธรรมบัญญัติ ก็ถูกตัดขาดจากพระคริสต์ และหล่นจากพระคุณไปเสียแล้ว" จะเห็นได้ว่าสิ่งที่พระคัมภีร์มักเตือนเสมอก็คือการกลับมาแทรกแซงของสามีเก่าซึ่งก็คือธรรมบัญญัตินั่นเอง (เนื้อหนังของเราถูกเร้าได้ด้วยธรรมบัญญัติ)
ดังนั้นในฐานะผู้รับใช้พระเจ้า บางท่านเป็นผู้เทศน์หรืออาจารย์สอนพระวจนะ ก็ต้องให้ระวังให้ดีที่จะไม่นำเอาธรรมบัญญัติมาปะปนในคำเทศนาหรือคำสอนของท่าน หรือถ้าในฐานะผู้เชื่อ ก็ให้ระวังที่จะไม่รับเอาคำสอนที่เจือปนไปด้วยธรรมบัญญัติ เพราะนั่นจะส่งผลเสียต่อชีวิตสมรสระหว่างคุณกับพระคริสต์ได้ในที่สุด
แท้จริงเราผู้เชื่อได้ตายจากสามีเก่าซึ่งคือธรรมบัญญัติ แล้วมาตกเป็นของสามีใหม่คือพระคริสต์ ดังใน โรมบอกไว้ "เช่นนั้นแหละ พี่น้องทั้งหลาย ท่านทั้งหลายได้ตายจากธรรมบัญญัติทางพระกายของพระคริสต์ เพื่อท่านจะตกเป็นของผู้อื่น คือของพระองค์ผู้ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตายแล้ว เพื่อเราทั้งหลายจะได้เกิดผลถวายแด่พระเจ้า" โรม [7:4]
"Wherefore, my brethren, ye also are become dead to the law by the body of Christ; that ye should be married to another, even to him who is raised from the dead, that we should bring forth fruit unto God." - Rom 7:4
ดังนั้นแท้จริงบัดนี้เราเป็นเจ้าสาวของพระคริสต์แล้ว ได้แต่งงานกับพระองค์แล้ว และเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว รอก็แต่ผลแห่งความสัมพันธ์นี้ (ผลพระวิญญาณฯ) ที่จะค่อย ๆ ปรากฎออกมาอย่างแน่นอนเท่านั้น
เมื่อเป็นดังนั้น "ซึ่งพระเจ้าได้ผูกพันไว้แล้ว อย่าให้ผู้ใดบังอาจแยกเขาทั้งสองออกจากกัน" จึงกลายเป็นสิ่งที่สำคัญ
คราวนี้อะไรล่ะที่จะสามารถแยกเราจากพระคริสต์ได้ ในกาลาเทีย 5:4 ได้กล่าวไว้ว่า "ท่านทั้งหลายที่ปรารถนาจะถูกชำระให้ชอบธรรมโดยธรรมบัญญัติ ก็ถูกตัดขาดจากพระคริสต์ และหล่นจากพระคุณไปเสียแล้ว" จะเห็นได้ว่าสิ่งที่พระคัมภีร์มักเตือนเสมอก็คือการกลับมาแทรกแซงของสามีเก่าซึ่งก็คือธรรมบัญญัตินั่นเอง (เนื้อหนังของเราถูกเร้าได้ด้วยธรรมบัญญัติ)
ดังนั้นในฐานะผู้รับใช้พระเจ้า บางท่านเป็นผู้เทศน์หรืออาจารย์สอนพระวจนะ ก็ต้องให้ระวังให้ดีที่จะไม่นำเอาธรรมบัญญัติมาปะปนในคำเทศนาหรือคำสอนของท่าน หรือถ้าในฐานะผู้เชื่อ ก็ให้ระวังที่จะไม่รับเอาคำสอนที่เจือปนไปด้วยธรรมบัญญัติ เพราะนั่นจะส่งผลเสียต่อชีวิตสมรสระหว่างคุณกับพระคริสต์ได้ในที่สุด
Comments
Post a Comment