สิ่งที่หายไปแล้วไม่ใช่แค่ "บาป"

ความจริงที่ว่าที่ไม้กางเขนพระเยซูทรงขจัด "บาป" ของโลกออกไปแล้ว เป็นสิ่งที่เราคริสเตียนเข้าใจกันดี

แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่พระเยซูได้นำออกไปด้วยนั้น ผมไม่แน่ใจว่าคริสเตียนเราเข้าใจดีกันหรือไม่?

สิ่งที่ว่านั้นก็คือ "ธรรมบัญญัติ" นอกจากพระองค์จะได้ทรงขจัดบาปออกไปแล้ว พระองค์ยังทรงขจัด "ธรรมบัญญัติ" ออกนอกทางเดินของเราด้วยโดยการตรึงไว้ที่กางเขนนั้น ดังใน โคโลสี [2:14] "พระองค์ทรงฉีกกรมธรรม์ซึ่งได้ผูกมัดเราด้วยบัญญัติต่างๆซึ่งขัดขวางเรา และได้ทรงหยิบเอาไปเสียให้พ้นโดยทรงตรึงไว้ที่กางเขน" กล่าวคือนอกจากพระองค์จะขจัดบาปออกไปแล้ว พระองค์ยังทรงเอาสิ่งที่ใช้วัดว่าอะไรคือบาปออกไปด้วย เพื่อไม่ให้เราถูกนับว่าเป็นบาปอีกต่อไป ถึงแม้ว่าพฤติกรรมบางอย่างเราอาจยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในทันทีก็ตาม! ดังใน โรม [4:15] "เพราะธรรมบัญญัติเป็นเหตุให้มีการลงพระอาชญา แต่ที่ใดไม่มีธรรมบัญญัติ ที่นั้นก็ไม่มีการละเมิดธรรมบัญญัติ"

ขอยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น สมมติว่าคุณเป็นคนชอบขับรถเร็วประมาณ 140 กม.ต่อชั่วโมง แล้วคุณขับอยู่บนทางด่วนที่มีกฏหมายจำกัดความเร็วไม่ให้เกิน 120 กม.ต่อชั่วโมงอยู่ คุณก็ละเมิดกฏหมายนี้เสียแล้ว คุณจึงถูกจับและถูกปรับ และสมมติคุณไม่มีเงินจ่าย แต่แล้วพระเยซูก็ได้มาช่วยคุณโดยการจ่ายค่าปรับทั้งหมดให้ คุณจึงสามารถกลับมาขับรถได้ดังเดิม คราวนี้ไม่เพียงพระเยซูจ่ายค่าปรับให้คุณเท่านั้น พระองค์ยังทรงทำมากกว่านั้นอีกคือพระองค์ทรงยกเลิกกฎหมายจำกัดความเร็วนั้นไปเสียด้วย! กล่าวคือบนทางด่วนนั้นไม่มีการจำกัดความเร็วอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นต่อจากนี้ไปแม้คุณขับรถที่ความเร็ว 140 กม.ต่อชั่วโมง ตำรวจหรือใครก็ไม่สามารถมาจับคุณได้ หรือแม้แต่คุณขับความเร็วมากกว่านั้น คุณก็ไม่ถูกนับว่าละเมิดใด ๆ อีกเพราะกฎหมายนั้นไม่มีอีกแล้ว!

นั่นคือสิ่งที่พระเยซูทำให้กับเรา เราชอบธรรมแล้ว และบาปก็ไม่สามารถครอบงำเราได้อีก เพราะธรรมบัญญัติก็ไม่มีแล้วเช่นกัน!

คราวนี้พี่น้องก็อาจคิดว่าถ้าอย่างนั้นเราก็สามารถทำอะไรตามใจเราได้ทุกอย่างละสิ ในเมื่อไม่มีอะไรมาฟ้องเราแล้วนี่ พี่น้องจะตกใจไหมถ้าผมจะตอบว่าใช่! แต่หากเราอยู่ใน "พระคุณ" จริง ๆ แล้ว "พระคุณ" จะทำให้เราทำสิ่งดีต่าง ๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องอาศัยกฎใด ๆ มาชี้นำและบีบบังคับตัวเองแต่อย่างใด ดังใน ทิตัส 2:11-12 "เพราะว่าพระคุณของพระเจ้าที่นำไปถึงความรอดได้ปรากฏแก่คนทั้งปวงแล้ว สอนให้เราละทิ้งความอธรรมและโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ อย่างชอบธรรม และตามทางพระเจ้า"

ดังนั้นหากย้อนกลับไปที่ตัวอย่างที่ผมยกมา สิ่งที่ผู้เชื่อมากมายกระทำต่อกันก็เปรียบเหมือน พวกเรากำลังขับรถไปในทางด่วนนั้นด้วยกัน จากนั้นเราต่างก็มองรถของพี่น้องคันอื่น ๆ ที่ขับแซงเราไปคันแล้วคันเล่า แล้วเราก็ตำหนิพี่น้องเหล่านั้นว่าเขาทำผิดเพราะขับรถเร็วเกินไป เรายังคงเอากฎหมายที่ถูกยกเลิกไปแล้วมาใช้วัดกันและกันอยู่ แต่สิ่งที่เราควรจะทำก็คือตระหนักว่ากฎบัญญัตินั้นไม่มีแล้ว และเราก็หนุนใจซึ่งกันและกันให้ระลึกถึงสิ่งที่เรา "เป็น" ก็คือเรามีชีวิตของพระเจ้าอยู่ในเรา เมื่อเราจดจ่อที่ "ชีวิต" นั้น (ไม่ใช่บาป) ชีวิตนั้นก็จะสำแดงออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ แล้วไม่นานคุณและพี่น้องจะกลายเป็นคนที่ขับรถช้าลงได้ และในที่สุดคุณก็จะไม่ชอบขับรถเร็วอีกต่อไป โดยไม่ต้องอาศัยกฎเกณฑ์ใด ๆ มาควบคุม แต่โดยพระคุณของพระเจ้าล้วน ๆ

Comments