เนื้อหนัง (The Flesh)
อย่างหนึ่งที่จะช่วยให้เข้าใจเรื่องพระคุณหรืองานที่สำเร็จแล้วของพระเยซูคริสต์ได้ชัดเจนขึ้นคือการเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่า "เนื้อหนัง"
จากพระธรรม กาลาเทีย [5:19-21] "การงานของเนื้อหนังนั้นเห็นได้ชัด คือการล่วงประเวณี การโสโครก การลามก การนับถือรูปเคารพ การถือวิทยาคม การเป็นศัตรูกัน การวิวาทกัน การริษยากัน การโกรธกัน การใฝ่สูง การทุ่มเถียงกัน การแตกก๊กกัน การอิจฉากัน การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆในทำนองนี้อีกเหมือนที่ข้าพเจ้าได้เตือนท่านมาก่อน บัดนี้ข้าพเจ้าขอเตือนท่านเหมือนกับที่เคยเตือนมาแล้วว่า คนที่ประพฤติเช่นนั้นจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า"
เมื่อก่อนผมเข้าใจว่า "เนื้อหนัง" หมายถึง "ความต้องการที่จะทำบาป" ของผม ดังนั้นผมต้องพยายามหักห้ามใจตัวเองไม่ไห้ทำบาปให้ได้
แต่เดี๋ยวนี้ผมเข้าใจแล้วว่า "เนื้อหนัง" ที่พระคัมภีร์หมายถึงก็คือ "การพยายามที่จะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าด้วยกำลังของตนเอง" ซึ่งโดยความหมายนี้ แม้แต่ความพยายามหักห้ามใจไม่ให้ทำบาปของผม ก็เข้าข่าย "เนื้อหนัง" เช่นกัน เพราะโดยเนื้อหนัง ไม่ว่าเราพยายามมากเท่าใดก็ไม่สามารถทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้ เพราะเราก็จะล้มเหลว และรายการที่พระธรรม กาลาเทีย 5:19-21 เรียกว่า "การงานของเนื้อหนัง" ก็จะกลายเป็นปลายทางของเราในที่สุด
เมื่อผมได้อ่านพระธรรมกาลาเทียและพระธรรมโรม ด้วยความหมายของคำว่า "เนื้อหนัง" ที่กว้างขึ้นนี้แล้ว ทำให้ได้ความเข้าใจที่ชัดขึ้นมากในเรื่องงานที่สำเร็จแล้วของพระเยซูคริสต์ ได้เห็นว่าการจะมีชัยชนะในชีวิตคริสเตียนจริง ๆ ได้นั้นต้องเลิกดำเนินตามเนื้อหนัง (การเชื่อพึ่งในการกระทำของตนเอง) มาดำเนินตามพระวิญญาณ (พระวิญญาณพระคริสต์ที่ประสบเกียรติกิจแล้ว - สำเร็จแล้ว) การคิดว่าการกระทำดีบางอย่างของเราจะสามารถช่วยให้พระเจ้าพอพระทัยเรามากขึ้นนั้น ก็เหมือนเรากำลังบอกว่างานที่พระเยซูทำที่กางเขนยังไม่เป็นที่พอพระทัยพระบิดาเท่าไหร่ ต้องเพิ่มเติมด้วยการกระทำบางอย่างจากเรา
จะเปรียบไปก็เหมือนกับภาพโมนาลิซ่า คงไม่มีใครที่ได้เป็นเจ้าของภาพนี้แล้วจะนำภู่กันมาแต่งแต้มบางอย่างเข้าไป โดยคิดว่าจะทำให้สวยขึ้น
นอกจากจะไม่แล้ว ยังเป็นการทำให้ภาพที่สมบูรณ์อยู่แล้วเสียหายไปด้วยซ้ำ
ถ้าลิโอนาโด ดาวินชี ได้วางภู่กันลงแล้ว และบอกว่าเสร็จ มันก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว
งานของพระเยซูก็เช่นกัน พระองค์บอกว่า 'สำเร็จแล้ว' ก็แปลว่าสำเร็จแล้ว
เราอย่าได้เติมเนื้อหนังของเราเข้าไปเลย แล้วไม่ช้าผลพระวิญญาณก็จะสำแดงออกมา และถาวร
จากพระธรรม กาลาเทีย [5:19-21] "การงานของเนื้อหนังนั้นเห็นได้ชัด คือการล่วงประเวณี การโสโครก การลามก การนับถือรูปเคารพ การถือวิทยาคม การเป็นศัตรูกัน การวิวาทกัน การริษยากัน การโกรธกัน การใฝ่สูง การทุ่มเถียงกัน การแตกก๊กกัน การอิจฉากัน การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆในทำนองนี้อีกเหมือนที่ข้าพเจ้าได้เตือนท่านมาก่อน บัดนี้ข้าพเจ้าขอเตือนท่านเหมือนกับที่เคยเตือนมาแล้วว่า คนที่ประพฤติเช่นนั้นจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า"
เมื่อก่อนผมเข้าใจว่า "เนื้อหนัง" หมายถึง "ความต้องการที่จะทำบาป" ของผม ดังนั้นผมต้องพยายามหักห้ามใจตัวเองไม่ไห้ทำบาปให้ได้
แต่เดี๋ยวนี้ผมเข้าใจแล้วว่า "เนื้อหนัง" ที่พระคัมภีร์หมายถึงก็คือ "การพยายามที่จะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าด้วยกำลังของตนเอง" ซึ่งโดยความหมายนี้ แม้แต่ความพยายามหักห้ามใจไม่ให้ทำบาปของผม ก็เข้าข่าย "เนื้อหนัง" เช่นกัน เพราะโดยเนื้อหนัง ไม่ว่าเราพยายามมากเท่าใดก็ไม่สามารถทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้ เพราะเราก็จะล้มเหลว และรายการที่พระธรรม กาลาเทีย 5:19-21 เรียกว่า "การงานของเนื้อหนัง" ก็จะกลายเป็นปลายทางของเราในที่สุด
เมื่อผมได้อ่านพระธรรมกาลาเทียและพระธรรมโรม ด้วยความหมายของคำว่า "เนื้อหนัง" ที่กว้างขึ้นนี้แล้ว ทำให้ได้ความเข้าใจที่ชัดขึ้นมากในเรื่องงานที่สำเร็จแล้วของพระเยซูคริสต์ ได้เห็นว่าการจะมีชัยชนะในชีวิตคริสเตียนจริง ๆ ได้นั้นต้องเลิกดำเนินตามเนื้อหนัง (การเชื่อพึ่งในการกระทำของตนเอง) มาดำเนินตามพระวิญญาณ (พระวิญญาณพระคริสต์ที่ประสบเกียรติกิจแล้ว - สำเร็จแล้ว) การคิดว่าการกระทำดีบางอย่างของเราจะสามารถช่วยให้พระเจ้าพอพระทัยเรามากขึ้นนั้น ก็เหมือนเรากำลังบอกว่างานที่พระเยซูทำที่กางเขนยังไม่เป็นที่พอพระทัยพระบิดาเท่าไหร่ ต้องเพิ่มเติมด้วยการกระทำบางอย่างจากเรา
จะเปรียบไปก็เหมือนกับภาพโมนาลิซ่า คงไม่มีใครที่ได้เป็นเจ้าของภาพนี้แล้วจะนำภู่กันมาแต่งแต้มบางอย่างเข้าไป โดยคิดว่าจะทำให้สวยขึ้น
นอกจากจะไม่แล้ว ยังเป็นการทำให้ภาพที่สมบูรณ์อยู่แล้วเสียหายไปด้วยซ้ำ
ถ้าลิโอนาโด ดาวินชี ได้วางภู่กันลงแล้ว และบอกว่าเสร็จ มันก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว
งานของพระเยซูก็เช่นกัน พระองค์บอกว่า 'สำเร็จแล้ว' ก็แปลว่าสำเร็จแล้ว
เราอย่าได้เติมเนื้อหนังของเราเข้าไปเลย แล้วไม่ช้าผลพระวิญญาณก็จะสำแดงออกมา และถาวร
Comments
Post a Comment