เริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ (From Faith to Faith)

ปัญหาของคริสเตียนปัจจุบันอย่างหนึ่งก็คือ การนำธรรมบัญญัติมาปะปนกับพระคุณโดยไม่รู้ตัว (Mixture)
เราผู้เชื่อทุกคนต่างยอมรับเป็นเสียงเดียวกันว่าเรารอดโดยพระคุณ เพราะความเชื่อ เราไม่ได้มีปัญหาความสับสนเมื่อพูดถึงความรอด
แต่พอมาพูดถึงการดำเนินชีวิตคริสเตียน ตรงนี้แหละที่เกิดปัญหาความสับสนขึ้นมากมาย
ปัญหาการนำธรรมบัญญัติมาปะปนกับพระคุณในการดำเนินชีวิตของคริสเตียนนี้ มิได้เกิดขึ้นเฉพาะปัจจุบันเท่านั้น แต่เกิดมาตั้งแต่ในคริสตจักรสมัยแรก
เราเห็นสิ่งนี้ในคริสตจักรกาลาเทีย ในสมัยนั้นสิ่งที่เป็นธรรมบัญญัติและได้ถูกนำเข้ามาปะปนกับพระคุณก็คือการเข้าสุหนัต
ซึ่งถ้าสังเกตุให้ดีจะเห็นว่าแม้แต่อัครทูตเปโตร และบารนาบัส ยังถูกทำให้เขวไปด้วยเรื่องนี้ด้วย!

ถ้าให้เราคิดว่า ถ้าในสมัยนั้นคือ 'การเข้าสุหนัต' สมัยนี้น่าจะเป็นอะไรได้บ้าง?
ผมคิดว่าก็คือกิจกรรมฝ่ายวิญญาณทั้งหลายของคริสเตียนนั่นเอง ตลอดจนที่คริสเตียนเรียกว่า 'งานรับใช้' ด้วย
คุณเคยคิดหรือได้ยินแบบนี้ไหม?
- "เราต้องมาคริสตจักรทุกวันอาทิตย์ ไม่อย่างนั้นพระเจ้าจะไม่อวยพรเรา"
- "เราต้องตื่นมาอธิษฐานตั้งแต่เข้าตรู่"
- "เราต้องอ่านพระคัมภีร์วันละ 5 บทเป็นอย่างน้อย"
- "เราต้องเผ้าเดี่ยวทุกวัน"
- "เราต้องประกาศนำคนมารู้จักพระเจ้า"
- "เราต้องรักษาชีวิตให้บริสุทธิ์"
- "เราต้องเลี้ยงดูลูกแกะ"
- "เราต้องเชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าจึงจะอวยพรเรา"
- ฯลฯ

หากคุณพูดประโยคเหล่านี้กับคริสเตียนโดยทั่วไป แถบทุกคนจะไม่มีใครกล้าขัดแย้งคุณเลย เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม
แต่โดยไม่รู้ตัว นั่นคือการนำธรรมบัญญัติมาปะปนกับพระคุณเสียแล้ว
และที่ร้ายแรงก็คือ พระเจ้าบอกว่าถ้าเราเอาน้ำองุ่นหมักใหม่ ใส่ในถุงหนังเก่า มันจะไม่ได้เสียไปแค่อย่างเดียว มันจะเสียไปทั้งคู่!

ในพระธรรมโรมบอกว่า
"เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้สำแดงออกโดย เริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ
ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ" (โรม 1:17)
จะเห็นได้ว่าพระวจนะบอกว่า 'from FAITH to FAITH' ไม่ใช่ 'from FAITH to WORKS'
ดังนั้นหากเราเริ่มต้นความรอดด้วยพระคุณ แล้วเราจะทำให้มันสมบูรณ์ได้ด้วยการงานของเนื้อหนังอย่างนั้นหรือ ดังในพระธรรม
กาลาเทีย [3:1-5] "โอ ชาวกาลาเทียคนเขลา ใครสะกดดวงจิตของท่านให้เห็นผิดไปได้ทั้งๆที่ภาพการถูกตรึงของพระเยซูคริสต์ปรากฏอยู่ต่อหน้าท่านแล้ว ข้าพเจ้าใคร่รู้ข้อเดียวจากท่านว่า ท่านได้รับพระวิญญาณโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติหรือ หรือได้รับโดยการฟังด้วยความเชื่อ ท่านเขลาถึงเพียงนั้นทีเดียวหรือ เมื่อท่านเริ่มต้นมาด้วยพระวิญญาณแล้ว บัดนี้ท่านจะจบลงด้วยเนื้อหนังหรือ ท่านได้รับประสบการณ์มากมายโดยไร้ประโยชน์หรือ ถ้าเป็นการไร้ประโยชน์จริงๆแล้ว พระองค์ผู้ทรงประทานพระวิญญาณแก่ท่าน และทรงสำแดงอิทธิฤทธิ์ท่ามกลางพวกท่าน ทรงกระทำการเช่นนั้นโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติหรือ หรือโดยการฟังด้วยความเชื่อ"

ความจริงก็คือ เราทั้งหลายเป็นที่พอพระทัยหรือได้รับพระพรมิใช่ด้วยการเชื่อฟังหรือการกระทำใด ๆ ของเราแต่เป็นการกระทำและการเชื่อฟังของพระเยซูคริสต์ผู้เดียว ดังใน
โรม [5:19] เพราะว่าคนเป็นอันมากเป็นคนบาป เพราะคนคนเดียวที่มิได้เชื่อฟังฉันใด คนเป็นอันมากก็เป็นคนชอบธรรม เพราะพระองค์ผู้เดียวที่ได้ทรงเชื่อฟังฉันนั้น
"For as through the one man's disobedience the many were made sinners, even so through the obedience of the one shall the many be made righteous."

ในทางตรงกันข้าม เมื่อเราใช้กิจกรรมเหล่านั้นเป็นบรรทัดฐานในการดำเนินชีวิตคริสเตียน แล้วในใจลึก ๆ ของเราก็พึ่งพาอยู่บนสิ่งเหล่านั้น ที่เราคิดว่าน่าจะได้พระพรกลับจะกลายเป็นคำแช่งสาปไปได้ด้วยซ้ำ ดังใน
กาลาเทีย [3:10] เพราะว่าคนทั้งหลายซึ่งพึ่งการประพฤติตามธรรมบัญญัติ (WORKS of the LAW) ก็ถูกแช่งสาป เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ทุกคนที่มิได้ประพฤติตามข้อความทุกข้อ ที่เขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติก็ถูกแช่งสาป

เพราะอะไร ก็เพราะว่าไม่มีใครทำสิ่งเหล่านั้นได้สมบูรณ์ทุกข้อ แล้วสิ่งที่เราพลาดไปก็จะกลับมาฟ้องเราในที่สุด

จริง ๆ แล้ว สิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวด้านบนนั้น ควรเป็นผลของการดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ มิได้เป็นงานที่เราประดิษฐ์ขึ้น และพยายามด้วยกำลังเนื้อหนังของเรา
การทำให้เกิดผล มิได้เกิดจากการที่เราโฟกัสไปที่ผล แต่ต้องโฟกัสไปที่ราก
เราเป็นแขนง เราต้องโฟกัสไปที่เถาคือพระเยซู แล้วผลจะเกิดขึ้นเอง (effortless) และเป็นผลที่คงอยู่ (sustain)

ดังนั้นเราจึงควรเลิกที่จะเอาธรรมบัญญัติมาปะปนกับพระคุณเสีย แล้วหันกลับมาหาพระเยซูแบบหน้าต่อหน้า
และด้วยงานที่สำเร็จแล้วของพระองค์ ที่พระองค์ได้ทำแทนเราครบถ้วนแล้วนั้น ให้เราเพียงแค่เชื่อและรับเอา

Comments