หนึ่งยอห์นหนึ่งข้อเก้า - ตอนที่สี่ (One John One Nine - Part Four)
(by Joel Brueseke แปลจาก http://blog.graceroots.org/2010/03/one-john-one-nine-part-four.html)
หนึ่งยอห์นหนึ่งข้อเก้า - ตอนที่สี่
จุดประสงค์หลักของผมที่เขียนบทความชุดนี้ก็เพื่อต้องการชี้ให้เห็นว่าหลักคำสอนที่ได้ถูกสร้างขึ้นมาในคริสตจักรด้วยข้อพระคำภีร์ข้อเดียวโดด ๆ ทำให้เกิดเข้าใจผิดได้มากแค่ไหน โดยที่มันเป็นหลักคำสอนที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากข้อพระคัมภีร์ที่เหลือทั้งหมดของพันธสัญญาใหม่ และความจริงยังขัดแย้งเสียด้วยซ้ำ ถ้าเราสัตย์ซื่อต่อตัวเราเอง เราคริสเตียนได้ความคิดที่ว่าเราจำเป็นต้องสารภาพบาปของเราครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อจะได้รับการชำระและการยกโทษครั้งแล้วครั้งเล่านี้มาจากไหน? มันไม่ใช่จากพระธรรมข้อเดียวโดด ๆ ข้อนี้หรือ? แต่ถ้าเราพลาดประเด็นของพระธรรมข้อนี้ (และเนื้อหารอบข้าง) เราก็จะกระทำบางอย่างที่พระเจ้าไม่เคยตั้งใจให้เรากระทำ
บางคนอาจพูดว่า "แล้วมันจะหนักหนาอะไรนักกับการสารภาพบาปของเรา ถึงแม้ว่าเราไม่จำเป็นต้องทำก็ตาม?" เอาละ มันจะหนักหนาอะไรไหมถ้าชายคนหนึ่งถามภรรยาของเขาทุกวันว่าเธอจะยอมแต่งงานกับเขาไหม? ผมไม่ได้หมายความถึงการหยอกล้อเล่น ๆ ที่เขาต้องการให้เธอรู้ว่าเขารักที่ได้แต่งงานกับเธอ ผมหมายถึงการที่ชายคนหนึ่งถามภรรยาของเขาจริง ๆ ว่าจะยอมแต่งงานกับเขาไหมทุก ๆ วัน ทำราวกับว่าพวกเขากลายเป็นคนที่ 'ยังไม่ได้แต่งงาน' ทุกวัน ความคิดทั้งหมดของเรื่องนี้ก็คือมันเป็นการดูหมิ่นความเป็นหนึ่งเดียวกันที่ได้เกิดขึ้นจริงครั้งเดียวเพื่อตลอดไปในวันแต่งงานของพวกเขา ประเด็นของตอนที่สามของบทความชุดนี้ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่าทำไมเราจะไม่ได้กลายเป็น 'มลทิน' หรือ 'ไม่ได้รับการยกโทษ' จำเพาะพระพักตร์พระเจ้าอีก โดยเรายังคงดำรงอยู่ในการเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์เสมอ ความพยายามของเราในการที่จะให้พระองค์ชำระเราให้สะอาดและยกโทษให้เราครั้งแล้วครั้งเล่าแสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้เข้าใจความเป็นจริงในสิ่งที่ได้เป็นจริงแล้วของเรา และนี่คือการดูหมิ่นพระวิญญาณแห่งพระคุณ
ในความเป็นจริงเราได้ถูกแยกจากความบาปแล้ว ความบาปของเราได้ถูกขจัดออกไปแล้ว เหตุการณ์ครั้งเดียวที่ได้เกิดขึ้นเพื่อความบาปของเราทั้งหมดจะถูกจัดการครั้งเดียวเพื่อตลอดไป ช่างเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์เพียงใดที่ได้สำเร็จโดยโลหิตของพระเยซู! ลองคิคดูถ้าความประพฤติที่ไม่ชอบธรรมของเรารายวันได้ลดทอนผลของเครื่องบูชาครั้งเดียวนั้น และทำให้เราเป็นมลทินและไม่ได้รับการยกโทษอีกครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าอย่างนั้นพระเยซูก็ต้องกลับมาและตายเพื่อความบาปของเราอีกครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นกัน! ความประพฤติของเราไม่ได้ทำให้เราสะอาดได้ตั้งแต่แรก และก็จะไม่สามารถทำให้เราเป็นมลทินได้ มีเพียงแค่โลหิตของพระเยซูเท่านั้นที่สามารถทำให้เราสะอาดและชำระเราตลอดไป พระเจ้าไม่ได้เห็นบาปใด ๆ ในเราอีก
ดังนั้นเราจะทำอย่างไรเมื่อเราไม่ได้ตำเนินชีวิตดังคนที่สะอาด ชอบธรรม ได้รับการยกโทษแล้ว ตามที่เราเป็นจริง ๆ? เอาละหลังจากพระธรรมหลายบทที่ได้ชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่เครื่องบูชาครั้งเดียวแห่งโลหิตนั้นได้ทำสำเร็จแล้ว ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูกล่าวว่า "ขอให้เรายังคงยึดมั่นในความหวังที่ประกาศรับไว้นั้น (confession of our hope) โดยไม่หวั่นไหว เพราะว่าพระองค์ผู้ประทานพระสัญญานั้นทรงซื่อสัตย์" (ฮบ.10:23) ผู้เขียนยังได้กล่าวต่อด้วยข้อความอีกอันที่มีการตีความนอกบริบทและเกิดความเข้าใจผิดกันมากโดยเริ่มกล่าวด้วย "เมื่อเราได้รับความรู้เรื่องความจริงแล้ว แต่เรายังขืนทำผิดอีก เครื่องบูชาลบบาปนั้นก็จะไม่มีเหลืออยู่เลย..." (ฮบ.10:26-31) ประเด็นหลักของเนื้อความตอนนี้ก็คือไม่มีเครื่องบูชาอื่นสำหรับความบาปอีกแล้วนอกจากเครื่องบูชาครั้งเดียวพอของพระเยซู ดังนั้นเมื่อเราทำบาปให้เรายึดมั่นในการสารภาพความหวังของเรา (ไม่ใช่ความบาปของเรา) ที่เรามีในโลหิตแห่งการชำระตลอดไปของพระเยซู
จะเกิดอะไรขึ้นหากฉันไม่ได้รู้สึกว่าไดัรับการชำระและได้รับการยกโทษแล้ว? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันกำลังแบกภาระของความประพฤติบาปของฉันอยู่? บางคนอาจบอกว่าการสารภาพบาปของพวกเขาทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นหรือได้ยกเอาภาระหนักนั้นได้ ผมเข้าใจในความคิดที่ว่าการสารภาพบาปทำให้คนรู้สึกสะอาดและได้รับการยกโทษ แต่ผมถึงแม้เข้าใจดี ก็ยังต้องการท้าทายอย่างมากในสิ่งที่กล่าวไปนั้น เราไม่จำเป็นต้องแบกน้ำหนักของความบาปของเราอีกต่อไป กล่าวอีกครั้งหนึ่ง เราได้รับการชำระและการยกโทษแล้วด้วยอย่างเดียวเท่านั้นคือโลหิตของพระเยซู - ไม่ใช่ว่าเรารู้สึกอย่างไร ผมอยากกล่าวว่าหากเราต้องการรู้สึกว่าได้รับการยกโทษและการชำระแล้วจริง ๆ เราต้องยอมรับความจริง โดยความเชื่อ ว่าแม้ว่าการกระทำของเราบางครั้งอาจขัดแย้งกับสถานภาพแห่งความชอบธรรม ความสมบูรณ์ ความบริสุทธิ์ของเรา ในความเป็นจริงเราก็ยังคงได้รับการยกโทษและการชำระแล้วเสมอ ความรู้สึกของเรามาแล้วก็ไป ความจริงก็คือว่าทุกสิ่งได้สำเร็จอย่างแท้จริงและอย่างเพียงพอโดยโลหิตของพระเยซูและไม่มีสิ่งใดน้อยไปกว่านั้น! (รวมทั้งและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรู้สึกของเรา) ความจริงจะชนะความรู้สึกเสมอ
กลับไปยังตัวอย่างเรื่องการแต่งงาน ผมเคยได้ยินมีการพูดกันว่าในความสัมพันธ์ใด ๆ มันเป็นการดีและมีประโยชน์ในการสารภาพซึ่งกันและกันและการขอการให้อภัยและการขอโทษเมื่อเราทำผิด และดังนั้นในความสัมพันธ์กับพระเจ้า มันจึงเป็นการดีและมีประโยชน์ต่อความสัมพันธ์หากเราสารภาพและขอการให้อภัยและขอโทษเมื่อเราทำบาป เอาละ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์เป็นสิ่งหนึ่ง และบางครั้งสิ่งเหล่านั้นอาจดีและเป็นประโยชน์หรือจำเป็น นั่นคือหัวข้อสนทนาอีกเรื่องหนึ่ง แต่บนสิ่งที่ผมได้แบ่งปันในบทความชุดนี้ทั้งหมดเกี่ยวกับความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าและการที่พระองค์ได้ขจัดบาปของเราไปและได้ทำให้เราถึงซึ่งความสมบูรณ์เป็นนิตย์แล้ว และบนที่ว่าทำไมการกระทำของเราจะไม่แยกเราจากพระองค์หรือทำให้พระองค์พาเรากลับไปยังสถานะ 'ไม่ได้รับการยกโทษและมลทิน' มันเป็นความมั่นใจของผม (ผมถูกทำให้มั่นใจ) ว่าไม่มีอะไรที่ต้องสารภาพหรือขอการยกโทษอีก
ผมเห็นว่าไม่มีอะไรผิดที่จะรู้ว่าสิ่งที่เราทำไม่ตรงกับสิ่งที่เราเป็นจริง ๆ ตราบเท่าที่เราไม่พาตัวเองไปอยู่ใต้การกล่าวโทษหรือความอับอาย การสงสารตัวเอง การกล่าวโทษตัวเองและการรู้สึกฟ้องผิด รู้สึกอับอาย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่พระเจ้าต้องการจากเรา! เราเข้าใจประเด็นนี้จริง ๆ ไหม? พระองค์ได้ทรงทำอย่างมากที่จะขจัดความบาปและการฟ้องผิดไปจากเรา!!! พระโลหิตของพระองค์... จำได้ไหม??? คุณเคยได้ยินคนพูดไหมว่าการฟ้องผิดเป็นแรงจูงใจที่ดี? พวกเขาพูดว่าการฟ้องผิดช่วยขับเคลื่อนคนให้ "ทำสิ่งที่ถูก" โปรดอย่าหลงเชื่อในคำโกหกนั้น! นั่นไม่ใช่วิถีทางของพระคริสต์!
แต่ถ้าเรารับรู้ถึงความประพฤติบาปของเราด้วยความรู้สึกว่า "ฉันไม่ต้องการดำเนินชีวิตแบบนั้น ฉันต้องการดำเนินชีวิตออกจากชีวิตของพระคริสต์ในตัวฉัน" และถ้าเรายังคงยึดมั่นการสารภาพความหวังของเราในงานที่สำเร็จแล้วของพระเยซู เมื่อนั้นเราก็กำลังดำเนินอยู่ในพระคุณ ถ้าเรายังคงวางใจในความจริงที่ว่าพระองค์จะไม่จากหรือละทิ้งเรา และความจริงที่ว่าแม้แต่ความคิดและความประพฤติฝ่ายเนื้อหนังของเราจะไม่สามารถเปลี่ยนเราจากผู้ที่เราเป็นจริง ๆ ในพระองค์ เมื่อนั้นเราก็กำลังดำเนินในความจริงที่จะทำให้เราเป็นไท แทนที่จะเผ่นพล่านไปด้วยจิตสำนึกแห่งความบาปตลอดเวลา เราสามารถดำเนินไปด้วยจิตสำนึกแห่งความชอบธรรม เพราะว่านั่นคือความเป็นจริง 100% ของผู้ที่คุณเป็น เสรีภาพนี้จะนำเราไปยังที่ที่เราดำเนินออกจากความชอบธรรมและบริสุทธิ์ มากกว่าการพยายามที่จะให้ได้มันมา
หนึ่งยอห์นหนึ่งข้อเก้า - ตอนที่สี่
จุดประสงค์หลักของผมที่เขียนบทความชุดนี้ก็เพื่อต้องการชี้ให้เห็นว่าหลักคำสอนที่ได้ถูกสร้างขึ้นมาในคริสตจักรด้วยข้อพระคำภีร์ข้อเดียวโดด ๆ ทำให้เกิดเข้าใจผิดได้มากแค่ไหน โดยที่มันเป็นหลักคำสอนที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากข้อพระคัมภีร์ที่เหลือทั้งหมดของพันธสัญญาใหม่ และความจริงยังขัดแย้งเสียด้วยซ้ำ ถ้าเราสัตย์ซื่อต่อตัวเราเอง เราคริสเตียนได้ความคิดที่ว่าเราจำเป็นต้องสารภาพบาปของเราครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อจะได้รับการชำระและการยกโทษครั้งแล้วครั้งเล่านี้มาจากไหน? มันไม่ใช่จากพระธรรมข้อเดียวโดด ๆ ข้อนี้หรือ? แต่ถ้าเราพลาดประเด็นของพระธรรมข้อนี้ (และเนื้อหารอบข้าง) เราก็จะกระทำบางอย่างที่พระเจ้าไม่เคยตั้งใจให้เรากระทำ
บางคนอาจพูดว่า "แล้วมันจะหนักหนาอะไรนักกับการสารภาพบาปของเรา ถึงแม้ว่าเราไม่จำเป็นต้องทำก็ตาม?" เอาละ มันจะหนักหนาอะไรไหมถ้าชายคนหนึ่งถามภรรยาของเขาทุกวันว่าเธอจะยอมแต่งงานกับเขาไหม? ผมไม่ได้หมายความถึงการหยอกล้อเล่น ๆ ที่เขาต้องการให้เธอรู้ว่าเขารักที่ได้แต่งงานกับเธอ ผมหมายถึงการที่ชายคนหนึ่งถามภรรยาของเขาจริง ๆ ว่าจะยอมแต่งงานกับเขาไหมทุก ๆ วัน ทำราวกับว่าพวกเขากลายเป็นคนที่ 'ยังไม่ได้แต่งงาน' ทุกวัน ความคิดทั้งหมดของเรื่องนี้ก็คือมันเป็นการดูหมิ่นความเป็นหนึ่งเดียวกันที่ได้เกิดขึ้นจริงครั้งเดียวเพื่อตลอดไปในวันแต่งงานของพวกเขา ประเด็นของตอนที่สามของบทความชุดนี้ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่าทำไมเราจะไม่ได้กลายเป็น 'มลทิน' หรือ 'ไม่ได้รับการยกโทษ' จำเพาะพระพักตร์พระเจ้าอีก โดยเรายังคงดำรงอยู่ในการเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์เสมอ ความพยายามของเราในการที่จะให้พระองค์ชำระเราให้สะอาดและยกโทษให้เราครั้งแล้วครั้งเล่าแสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้เข้าใจความเป็นจริงในสิ่งที่ได้เป็นจริงแล้วของเรา และนี่คือการดูหมิ่นพระวิญญาณแห่งพระคุณ
ในความเป็นจริงเราได้ถูกแยกจากความบาปแล้ว ความบาปของเราได้ถูกขจัดออกไปแล้ว เหตุการณ์ครั้งเดียวที่ได้เกิดขึ้นเพื่อความบาปของเราทั้งหมดจะถูกจัดการครั้งเดียวเพื่อตลอดไป ช่างเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์เพียงใดที่ได้สำเร็จโดยโลหิตของพระเยซู! ลองคิคดูถ้าความประพฤติที่ไม่ชอบธรรมของเรารายวันได้ลดทอนผลของเครื่องบูชาครั้งเดียวนั้น และทำให้เราเป็นมลทินและไม่ได้รับการยกโทษอีกครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าอย่างนั้นพระเยซูก็ต้องกลับมาและตายเพื่อความบาปของเราอีกครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นกัน! ความประพฤติของเราไม่ได้ทำให้เราสะอาดได้ตั้งแต่แรก และก็จะไม่สามารถทำให้เราเป็นมลทินได้ มีเพียงแค่โลหิตของพระเยซูเท่านั้นที่สามารถทำให้เราสะอาดและชำระเราตลอดไป พระเจ้าไม่ได้เห็นบาปใด ๆ ในเราอีก
ดังนั้นเราจะทำอย่างไรเมื่อเราไม่ได้ตำเนินชีวิตดังคนที่สะอาด ชอบธรรม ได้รับการยกโทษแล้ว ตามที่เราเป็นจริง ๆ? เอาละหลังจากพระธรรมหลายบทที่ได้ชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่เครื่องบูชาครั้งเดียวแห่งโลหิตนั้นได้ทำสำเร็จแล้ว ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูกล่าวว่า "ขอให้เรายังคงยึดมั่นในความหวังที่ประกาศรับไว้นั้น (confession of our hope) โดยไม่หวั่นไหว เพราะว่าพระองค์ผู้ประทานพระสัญญานั้นทรงซื่อสัตย์" (ฮบ.10:23) ผู้เขียนยังได้กล่าวต่อด้วยข้อความอีกอันที่มีการตีความนอกบริบทและเกิดความเข้าใจผิดกันมากโดยเริ่มกล่าวด้วย "เมื่อเราได้รับความรู้เรื่องความจริงแล้ว แต่เรายังขืนทำผิดอีก เครื่องบูชาลบบาปนั้นก็จะไม่มีเหลืออยู่เลย..." (ฮบ.10:26-31) ประเด็นหลักของเนื้อความตอนนี้ก็คือไม่มีเครื่องบูชาอื่นสำหรับความบาปอีกแล้วนอกจากเครื่องบูชาครั้งเดียวพอของพระเยซู ดังนั้นเมื่อเราทำบาปให้เรายึดมั่นในการสารภาพความหวังของเรา (ไม่ใช่ความบาปของเรา) ที่เรามีในโลหิตแห่งการชำระตลอดไปของพระเยซู
จะเกิดอะไรขึ้นหากฉันไม่ได้รู้สึกว่าไดัรับการชำระและได้รับการยกโทษแล้ว? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันกำลังแบกภาระของความประพฤติบาปของฉันอยู่? บางคนอาจบอกว่าการสารภาพบาปของพวกเขาทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นหรือได้ยกเอาภาระหนักนั้นได้ ผมเข้าใจในความคิดที่ว่าการสารภาพบาปทำให้คนรู้สึกสะอาดและได้รับการยกโทษ แต่ผมถึงแม้เข้าใจดี ก็ยังต้องการท้าทายอย่างมากในสิ่งที่กล่าวไปนั้น เราไม่จำเป็นต้องแบกน้ำหนักของความบาปของเราอีกต่อไป กล่าวอีกครั้งหนึ่ง เราได้รับการชำระและการยกโทษแล้วด้วยอย่างเดียวเท่านั้นคือโลหิตของพระเยซู - ไม่ใช่ว่าเรารู้สึกอย่างไร ผมอยากกล่าวว่าหากเราต้องการรู้สึกว่าได้รับการยกโทษและการชำระแล้วจริง ๆ เราต้องยอมรับความจริง โดยความเชื่อ ว่าแม้ว่าการกระทำของเราบางครั้งอาจขัดแย้งกับสถานภาพแห่งความชอบธรรม ความสมบูรณ์ ความบริสุทธิ์ของเรา ในความเป็นจริงเราก็ยังคงได้รับการยกโทษและการชำระแล้วเสมอ ความรู้สึกของเรามาแล้วก็ไป ความจริงก็คือว่าทุกสิ่งได้สำเร็จอย่างแท้จริงและอย่างเพียงพอโดยโลหิตของพระเยซูและไม่มีสิ่งใดน้อยไปกว่านั้น! (รวมทั้งและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรู้สึกของเรา) ความจริงจะชนะความรู้สึกเสมอ
กลับไปยังตัวอย่างเรื่องการแต่งงาน ผมเคยได้ยินมีการพูดกันว่าในความสัมพันธ์ใด ๆ มันเป็นการดีและมีประโยชน์ในการสารภาพซึ่งกันและกันและการขอการให้อภัยและการขอโทษเมื่อเราทำผิด และดังนั้นในความสัมพันธ์กับพระเจ้า มันจึงเป็นการดีและมีประโยชน์ต่อความสัมพันธ์หากเราสารภาพและขอการให้อภัยและขอโทษเมื่อเราทำบาป เอาละ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์เป็นสิ่งหนึ่ง และบางครั้งสิ่งเหล่านั้นอาจดีและเป็นประโยชน์หรือจำเป็น นั่นคือหัวข้อสนทนาอีกเรื่องหนึ่ง แต่บนสิ่งที่ผมได้แบ่งปันในบทความชุดนี้ทั้งหมดเกี่ยวกับความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าและการที่พระองค์ได้ขจัดบาปของเราไปและได้ทำให้เราถึงซึ่งความสมบูรณ์เป็นนิตย์แล้ว และบนที่ว่าทำไมการกระทำของเราจะไม่แยกเราจากพระองค์หรือทำให้พระองค์พาเรากลับไปยังสถานะ 'ไม่ได้รับการยกโทษและมลทิน' มันเป็นความมั่นใจของผม (ผมถูกทำให้มั่นใจ) ว่าไม่มีอะไรที่ต้องสารภาพหรือขอการยกโทษอีก
ผมเห็นว่าไม่มีอะไรผิดที่จะรู้ว่าสิ่งที่เราทำไม่ตรงกับสิ่งที่เราเป็นจริง ๆ ตราบเท่าที่เราไม่พาตัวเองไปอยู่ใต้การกล่าวโทษหรือความอับอาย การสงสารตัวเอง การกล่าวโทษตัวเองและการรู้สึกฟ้องผิด รู้สึกอับอาย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่พระเจ้าต้องการจากเรา! เราเข้าใจประเด็นนี้จริง ๆ ไหม? พระองค์ได้ทรงทำอย่างมากที่จะขจัดความบาปและการฟ้องผิดไปจากเรา!!! พระโลหิตของพระองค์... จำได้ไหม??? คุณเคยได้ยินคนพูดไหมว่าการฟ้องผิดเป็นแรงจูงใจที่ดี? พวกเขาพูดว่าการฟ้องผิดช่วยขับเคลื่อนคนให้ "ทำสิ่งที่ถูก" โปรดอย่าหลงเชื่อในคำโกหกนั้น! นั่นไม่ใช่วิถีทางของพระคริสต์!
แต่ถ้าเรารับรู้ถึงความประพฤติบาปของเราด้วยความรู้สึกว่า "ฉันไม่ต้องการดำเนินชีวิตแบบนั้น ฉันต้องการดำเนินชีวิตออกจากชีวิตของพระคริสต์ในตัวฉัน" และถ้าเรายังคงยึดมั่นการสารภาพความหวังของเราในงานที่สำเร็จแล้วของพระเยซู เมื่อนั้นเราก็กำลังดำเนินอยู่ในพระคุณ ถ้าเรายังคงวางใจในความจริงที่ว่าพระองค์จะไม่จากหรือละทิ้งเรา และความจริงที่ว่าแม้แต่ความคิดและความประพฤติฝ่ายเนื้อหนังของเราจะไม่สามารถเปลี่ยนเราจากผู้ที่เราเป็นจริง ๆ ในพระองค์ เมื่อนั้นเราก็กำลังดำเนินในความจริงที่จะทำให้เราเป็นไท แทนที่จะเผ่นพล่านไปด้วยจิตสำนึกแห่งความบาปตลอดเวลา เราสามารถดำเนินไปด้วยจิตสำนึกแห่งความชอบธรรม เพราะว่านั่นคือความเป็นจริง 100% ของผู้ที่คุณเป็น เสรีภาพนี้จะนำเราไปยังที่ที่เราดำเนินออกจากความชอบธรรมและบริสุทธิ์ มากกว่าการพยายามที่จะให้ได้มันมา
Comments
Post a Comment