หนึ่งยอห์นหนึ่งข้อเก้า - ตอนที่สาม (One John One Nine - Part Three)

(by Joel Brueseke แปลจาก http://blog.graceroots.org/2010/03/one-john-one-nine-part-three.html)

หนึ่งยอห์นหนึ่งข้อเก้า - ตอนที่สาม

ตลอดทั้งเล่มของหนังสือฮีบรูเราเห็นถึงความดีเลิศและความสมบูรณ์เพียงพอของงานที่สำเร็จแล้วของพระคริสต์ และโดยเฉพาะในบทที่ 9 และ 10 เราได้อ่านถึงสิ่งทั้งหมดที่ได้สำเร็จแล้วผ่านทางโลหิตของพระคริสต์ ด้วยโลหิตของพระองค์เอง พระเยซู "ทรงสำเร็จการไถ่บาปชั่วนิรันดร์" (ฮบ.9:12) พระโลหิตของพระคริสต์ได้ชำระจิตสำนึกของคนที่หมกมุ่นในการประพฤติที่นำไปสู่ความตาย ให้หันไปรับใช้พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ (ฮบ. 9:14) พระธรรมฮีบรู 9:22 กล่าวว่า "ความจริงนั้นตามพระบัญญัติถือว่า เกือบทุกสิ่งจะบริสุทธิ์เพราะโลหิต และถ้าไม่มีโลหิตไหลออกแล้วก็จะไม่มีการอภัยบาปเลย" ในพันธสัญญาเดิมเลือดของสัตว์ต้องถูกถวายบ่อย ๆ แต่ก็ยังไม่เคยกำจัดบาปออกไป แต่โดยเครื่องบูชาเดียวพระเยซูได้ "กำจัดบาปให้หมดสิ้นไป โดยการถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา" (ฮบ.9:26) ในเครื่องบูชาของพันธสัญญาเดิมเหล่านั้น "เป็นการเตือนให้สำนึกในบาปทุกปีเพราะเลือดโคผู้และเลือดแพะไม่สามารถชำระบาปให้หมดสิ้นไปได้" (ฮบ.10:3-4) แต่บาปของเราได้ถูกกำจัดออกไป ครั้งเดียวเป็นพอด้วยโลหิตของพระเยซู โดยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว เราได้ถึงความสมบูรณ์เป็นนิตย์ (ฮบ.10:14)

ประเด็นก็คือการไถ่ของเรา การชำระของเรา ความบริสุทธิ์ของเรา ทั้งหมดต่างก็สำเร็จไม่ได้ด้วยสิ่งอื่นใดยกเว้นโลหิตของพระเยซู ผ่านทางพระโลหิตนั้น บาปของเราได้ถูกกำจัดออกไปและเราได้ถูกทำให้ถึงซึ่งความสมบูรณ์เป็นนิตย์ ก่อนที่เราจะรอดโดยพระคุณทางความเชื่อ ในฐานะคนบาปเราไม่สามารถทำอะไรได้เลยที่จะชำระตัวเราเองให้สะอาดขึ้นหรือทำให้เราชอบธรรมหรือได้รับการยกโทษ แม้ว่าเราประพฤติ "อย่างชอบธรรม" 99% ของเวลาทั้งหมด มันไม่ได้ช่วยชำระเราให้สะอาดและชอบธรรม และที่จะได้รับการยกโทษที่ได้จัดเตรียมให้เราทางไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ สิ่งเดียวที่จะทำให้เป็นไปได้สำหรับเราที่จะได้รับการชำระและการยกโทษก็คือโลหิตของพระเยซูเท่านั้น

บัดนี้ในฐานะธรรมิกชนผู้ซึ่งได้รับทั้งหมดนี้เปล่า ๆ สิ่งทั้งหมดเหล่านี้เป็นความจริงแท้สำหรับเรา แม้ว่าเมื่อเราไม่ได้ประพฤติเหมือนดังผู้ที่เราเป็นจริง ๆ ก็ตาม ความประพฤติอันไม่ชอบธรรมของเราไม่สามารถลดทอนสิ่งที่โลหิตของพระเยซูทำสำเร็จแล้วได้ เราจะไม่ได้กลายเป็นคนอธรรมโดยความประพฤติอธรรมของเรา เราจะไม่กลายเป็นมลทิน เราจะไม่สูญเสียความจริงที่ว่าบาปทั้งสิ้นของเราได้ถูกจัดการและกำจัดออกไปแล้ว เราจะไม่กลายเป็น "ผู้ที่ไม่ได้รับการยกโทษ" เราอยู่ในความสว่าง เรามีการสามัคคีธรรมซึ่งกันและกันและกับพระเจ้า การกระทำของเราจะไม่เป็นเหตุให้เราสูญเสียความสัมพันธ์กับพระเจ้า มันไม่ขึ้นอยู่กับความประพฤติของเราแต่ขึ้นอยู่กับโลหิตของพระเยซู

ในชีวิตของเราที่อยู่ในพระคริสต์ ระบบที่เราอาศัยอยู่นั้นไม่ได้มีพื้นฐานอยู่บนความประพฤติของเรา แต่อยู่บนงานที่สำเร็จแล้วของพระคริสต์ พระโลหิตของพระองค์ได้ทำสำเร็จในสิ่งที่ความประพฤติของเราไม่อาจทำได้ และดังนั้นการกล่าวว่าความประพฤติของเราสามารถลดทอนสิ่งที่พระโลหิตของพระองค์ได้ทำ ก็เป็นการ "เหยียบย่ำพระบุตรของพระเจ้า และดูหมิ่นพระโลหิตแห่งพันธสัญญา ซึ่งชำระเขาให้บริสุทธิ์ว่าเป็นสิ่งชั่วช้า และขัดขืนพระวิญญาณผู้ทรงพระคุณนั้น" (ดูใน ฮบ. 10:29)

สิ่งที่ยอห์นเขียนในบทแรกของจดหมายฝากฉบับแรกของเขาไม่เข้ากับชีวิตของคริสเตียน มันเข้ากับความจริงที่สามารถบอกกับผู้ไม่เชื่อเพื่อแสดงให้เขาเห็นว่าทำอย่างไรเขาจึงสามารถเข้ามาในความสว่าง มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า ปฏิบัติตามความจริงและรับการยกโทษที่ได้จัดเตรียมไว้สำหรับเขาที่ไม้กางเขนและได้รับการชำระจากบาปทั้งสิ้น

ผู้เชื่อนั้นได้อยู่ในความสว่างเรียบร้อยแล้ว "ท่านเป็นบุตรของความสว่าง และเป็นบุตรของกลางวัน เราทั้งหลายไม่ได้เป็นของกลางคืนหรือของความมืด" (1ธส. 5:5) "เพราะว่าเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างแล้วในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง" (อฟ. 5:8) ผู้เชื่อนั้นได้มีสามัคคีธรรมกับพระเจ้าแล้ว "พระเจ้าเป็นผู้ทรงความสัตย์ พระองค์ได้ทรงเรียกท่านให้สัมพันธ์สนิทกับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา" (1คร. 1:9) "แต่ส่วนคนที่ผูกพันกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็เป็นจิตใจอันเดียวกันกับพระองค์" (1คร.6:17) "เช่นนั้นแหละ พี่น้องทั้งหลาย ท่านทั้งหลายได้ตายจากธรรมบัญญัติทางพระกายของพระคริสต์ เพื่อท่านจะตกเป็นของผู้อื่น คือของพระองค์ผู้ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตายแล้ว เพื่อเราทั้งหลายจะได้เกิดผลถวายแด่พระเจ้า" (รม.7:4)

ผู้เชื่อนั้นได้รับการยกโทษและการชำระจากบาปทั้งสิ้นเรียบร้อยแล้ว:

"แต่ท่านได้รับการชำระแล้วได้รับการทำให้บริสุทธิ์แล้ว ได้รับการทำให้เป็นผู้ชอบธรรมในพระนามของพระเยซูคริสตเจ้า และพระวิญญาณแห่งพระเจ้าของเรา" (1คร.6:11)

"แล้วพระองค์จึงทรงหยิบถ้วยโมทนาพระคุณและส่งให้เขา ตรัสว่า "จงรับไปดื่มทุกคนเถิด ด้วยว่านี่เป็นโลหิตของเรา อันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญา ซึ่งต้องหลั่งออกเพื่อยกบาปโทษคนเป็นอันมาก" (มธ.26:27-28)

"ในพระเยซูนั้น เราได้รับการไถ่บาปโดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการอภัยโทษบาป ของเราโดยพระกรุณาอันอุดมของพระองค์ ซึ่งได้ทรงประทานแก่เราอย่างเหลือล้น ให้มีปัญญาสุขุมและมีความเข้าใจ" (อฟ.1:7-8)

"ลูกทั้งหลายเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะว่าได้ทรงยกบาปของท่านแล้ว ด้วยเห็นแก่พระนามของพระองค์" (1ยน.2:12)

"แล้วตรัสต่อไปว่า "และเราจะไม่จดจำบาปกับการอธรรมของเขาทั้งหลายอีกต่อไป เมื่อมีการลบบาปแล้วก็ไม่มีการถวายเครื่องบูชาลบบาปอีกต่อไป" (ฮบ.10:17-18)

"และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กัน เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่ท่านในพระคริสต์นั้น" (อฟ.4:32)

"จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน และถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกัน ก็จงยกโทษให้กันและกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด ท่านจงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน" (คส. 3:13)

ลองพิจารณาโดยเฉพาะพระธรรม 2 ข้อสุดท้าย ทั้งคู่ได้กล่าวชัดเจนว่า "อภัยโทษให้ผู้อื่น เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้ท่านเรียบร้อยแล้ว" มันไม่ใช่อีกแล้วที่ว่า "เพราะว่าถ้าท่านยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะทรงโปรดยกความผิดของท่านด้วย แต่ถ้าท่านไม่ยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านจะไม่ทรงโปรดยกความผิดของท่านเหมือนกัน" (มธ.6:14-15) นั่นคือก่อนไม้กางเขน บัดนี้หลังจากที่ทุกอย่างได้สำเร็จแล้วโดยทางโลหิตของพระเยซู เราได้รับการหนุนใจให้ยกโทษผู้อื่นเพราะว่าในพระคริสต์ พระเจ้าได้ยกโทษให้เราแล้ว เราไม่ได้ยกโทษเพื่อให้ได้รับการยกโทษ เรายกโทษเพราะว่าเราได้รับการยกโทษแล้ว

ในฐานะธรรมิกชน คุณสะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรม ได้รับการยกโทษ นั่นคือผู้ที่คุณเป็น ดังนั้นเราจะทำอย่างไรเมื่อเราไม่ได้ประพฤติเหมือนดังผู้ที่เราเป็น? ถ้าการสารภาพบาปไม่ใช่คำตอบ แล้วเราจะตอบสนองอย่างไรเมื่อเราพลาดไป? ผมจะพูดถึงสิ่งนี้ในตอนที่ 4 ซึ่งเป็นตอนสุดท้ายของคำสอนชุดนี้

Comments