Knowing Peace In Troubling Times

การดำเนินชีวิตอยู่ในโลกที่หลายครั้งดูเหมือนกำลังล่มสลาย คำที่พระเยซูให้แก่เหล่าสาวกของพระองค์สำคัญกับเราในทุกวันนี้เช่นเดียวกับที่มันเป็นเมื่อพระองค์พูดสิ่งนี้กับเหล่าผู้ติดตามของพระองค์ที่กำลังเผชิญปัญหาเมื่อสองพันปีที่แล้ว "อย่ากลัวเลย" พระองค์บอกพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า คำถามก็คือ "เราจะดำเนินชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอนที่ปรากฎอยู่ในชีวิตของเราโดยปราศจากความกลัวได้อย่างไร?" นอกจากนั้นหลายครั้งสถานการณ์ส่วนตัวของเราก็ดูจะเข้าขั้นอันตรายอย่างร้ายแรง

คำตอบสามารถเห็นได้ในประสบการณ์ของยอห์นเมื่อเขาถูกเนรเทศไปอยู่บนเกาะปัทมอส ถูกละทิ้งไว้บนเกาะขนาด 22 ตารางไมล์ เขาต้องมีความรู้สึกเหงาถึงจุดที่เขาสามารถละทิ้งความหวังในพระเจ้าได้ง่าย ๆ แต่ตรงกันข้าม มันคือบนเกาะเล็ก ๆ นี้เองที่ยอห์นได้มีประสบการณ์เห็นนิมิตของพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ไม่เพียงเหนือสถานการณ์ของเขาเองเท่านั้นแต่เหนือเหตุการณ์ทั้งหมดในประวัติศาสตร์ มันคือที่บนเกาะนี้เองที่เขาได้เขียน "วิวรณ์"

ยอห์นไม่ได้รับการเล้าโลมใจหรือความหวังใด ๆ จากสถานการณ์ของเขา แต่ได้รับกำลังอันยิ่งใหญ่ด้วยเพราะใจที่จรดจ่อของเขา เขากำลังนมัสการอยู่เมื่อบางสิ่งที่อัศจรรย์ได้เกิดขึ้น เขาได้บรรยายว่า "ต่อจากนั้น ดูเถิด ข้าพเจ้าได้เห็นประตูสวรรค์เปิดอ้าอยู่" (วิวรณ์ 4:1)

สิ่งแรกที่ยอห์นได้เห็นคือประตูสวรรค์เปิดอ้าอยู่ อะไรคือความสำคัญของประตูนี้? ประตูคือทางผ่านที่เชื่อมระหว่างสองสถานที่ที่ต่างกัน ในเหตุการณ์นี้มันคือทางผ่านระหว่างพื้นที่แห่งความจริงสองแห่ง - ธรรมชาติและเหนือธรรมชาติ

พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเรียกยอห์นให้เข้าทางประตูนี้และเพื่อได้เห็นเหนือโลกแห่งธรรมชาติไปยังโลกแห่งนิรันดร์ ร่างกายของเขาอยู่บนเกาะปัทมอส แต่ ณ เวลานั้น เขาสามารถเห็นเกินขอบเขตของสถานที่ทางกายภาพของเขา และเห็นบ้านฝ่ายวิญญาณของเขา ยอห์นได้เห็นว่าแท้จริงเขากำลังอาศัยอยู่สองโลกในเวลาเดียวกัน - กายภาพและฝ่ายวิญญาณ

การพบสันติสุขในสถานการณ์ของเรา เราต้องเข้าใจว่าเรานั้นอาศัยอยู่ในโลกอยู่ขนาน ถ้าคุณต้องการมีประสบการณ์ "สันติสุขที่เกินความเข้าใจ" ในชีวิตของคุณ มันจำเป็นที่ต้องมองให้เกินขอบเขตของโลกฝ่ายกายภาพและตระหนักรู้ว่ายังมีอีกมิติหนึ่งที่ซึ่งคุณก็อาศัยอยู่ด้วย ความเชื่อมั่นในพระเจ้าของเราจะจางหายเหมือนน้ำค้างกลางแสงอาทิตย์ในทะเลทราย หากสิ่งที่เราเห็นมีเพียงสภาพแวดล้อมที่มองเห็นได้ของชีวิตเราเท่านั้น ยังมีความจริงอีกสิ่งหนึ่งในชีวิตของเราที่เกินสิ่งที่เราเห็นได้ - และเราอาศัยอยู่ในโลกแห่งนั้นจริง ๆ

อัครทูตเปาโลได้เรียนรู้ที่จะวางใจพระบิดาผ่านบทเรียนแห่งความจริงนี้เช่นกัน เขาเขียนใน 2 โครินทร์ 4:18 "ด้วยว่าเราไม่ได้เห็นแก่สิ่งของที่เรามองเห็นอยู่ แต่เห็นแก่สิ่งของที่มองไม่เห็น เพราะว่าสิ่งของซึ่งมองเห็นอยู่นั้นเป็นของไม่ยั่งยืน แต่สิ่งซึ่งมองไม่เห็นนั้นก็ถาวรนิรันดร์"
เปาโลพูดสิ่งเดียวกับยอห์น - คุณอาศัยอยู่ในโลกที่คุณไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาของคุณ

ในย่านความจริงไหนที่คุณพบว่าชีวิตของคุณหมกมุ่นอยู่? ถ้าจุดสนใจของคุณอยู่แค่โลกฝ่ายธรรมชาติคุณกำลังทุกข์ยากจากการสายตาสั้น จงใช้เลนส์แห่งความเชื่อ มองให้เกินขอบเขตของโลกชั่วคราวและสภาพแวดล้อมชั่วคราวของมัน แล้วมองให้เห็นว่ายังมีโลกอีกโลกหนึ่ง ถ้าคุณกำลังมองหาเหตุผลสักอย่างที่จะทำให้เกิดความกล้าในการเผชิญกับเวลาแห่งความยากลำบากของคุณ คุณจะไม่สามารถหามันเจอในย่านแห่งธรรมชาตินี้ อย่างไรก็ตามความเชื่อมั่นอันเหนือธรรมชาติรอคุณอยู่ในอีกโลกหนึ่ง แค่เพียงคุณผ่านเข้าประตูนั้นด้วยความเชื่อ

ไม่เพียงแค่คุณอาศัยอยู่ในโลกคู่ขนาน - ฝ่ายกายภาพและฝ่ายวิญญาณ - แต่โลกฝ่ายวิญญาณเป็นโลกที่มีอำนาจครอบครองอยู่ มันคือภายใต้โลกแห่งอำนาจครอบครองนี้ที่เราจะพบบ้านที่แท้จริงของเรา ถิ่นที่อยู่ของคุณในโลกฝ่ายกายภาพนี้เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว อย่างไรก็ตามถิ่นที่อยู่ของคุณในโลกฝ่ายวิญญาณคือสิ่งถาวรนิรันดร์ การตระหนักรู้ถึงความจริงนี้ได้ ก็เป็นการรับเอารากฐานความพึงพอใจในชีวิตเบื้องล่างนี้ เมื่อสภาพรอบข้างดูอ้างว้าง ให้ลองมองเบื้องบน! คุณกำลังอยู่ ณ เวลานี้กับพระองค์ด้วยการอยู่ในพระเยซูคริสต์

ศัตรูแห่งวิญญาณจิตของเราได้ขโมยสันติสุขของเราเมื่อมันทำให้เราละสายตาออกจากการมองผ่านประตูสู่นิรันดร์นั้น โดยเรากลับมาจ้องอยู่กับสภาพแวดล้อมชั่วคราวของชีวิตนี้ ตัวอย่างหนึ่งที่พบในพระคัมภีร์เดิมอยู่ใน 2 พงศ์กษัตริย์ 6:8-17 ยูจีน ปีเตอร์สัน บรรยายเรื่องนี้ไว้อย่างดีในหนังสือ "The Message" :

"ฝ่ายพระราชาแห่งซีเรียรบพุ่งกับอิสราเอล พระองค์ตรัสปรึกษากับข้าราชการของพระองค์ว่า “เราจะตั้งค่ายของเราที่นั่นๆ แต่คนแห่งพระเจ้าส่งข่าวไปยังพระราชาแห่งอิสราเอลว่า ‘ขอพระองค์ทรงระวังอย่าผ่านมาทางนั้น เพราะคนซีเรียกำลังยกลงไปที่นั่น’ ” และพระราชาแห่งอิสราเอลทรงใช้ให้ไปยังสถานที่ซึ่งคนแห่งพระเจ้าบอกให้ ท่านเคยเตือนพระองค์ดังนี้แหละ พระองค์จึงทรงระวังตัวได้ที่นั่นมิใช่เพียงครั้งสองครั้ง พระราชาแห่งซีเรียก็ไม่สบายพระทัยมากเพราะเรื่องนี้ พระองค์จึงทรงเรียกข้าราชการมาตรัสว่า “พวกท่านจะไม่บอกเราหรือว่าคนใดในพวกเราที่อยู่ฝ่ายพระราชาแห่งอิสราเอล” ข้าราชการคนหนึ่งของพระองค์ทูลว่า “ข้าแต่พระราชา เจ้านายของข้าพระบาท ไม่มีผู้ใดพระเจ้าข้า แต่เอลีชาผู้เผยพระวจนะซึ่งอยู่ในอิสราเอลทูลบรรดาถ้อยคำ ซึ่งพระองค์ตรัสในห้องบรรทมของพระองค์แก่พระราชาแห่งอิสราเอล” พระองค์จึงตรัสว่า “จงไปหาดูว่า เขาอยู่ที่ไหน เพื่อเราจะใช้คนไปจับเขามา” มีคนทูลพระองค์ว่า “ดูเถิด เขาอยู่ในโดธาน” พระองค์จึงทรงส่งม้า รถรบ และกองทัพใหญ่ เขาไปกันในกลางคืนและล้อมเมืองนั้นไว้ เมื่อคนใช้ของคนแห่งพระเจ้าตื่นขึ้นเวลาเช้าตรู่และออกไป ดูเถิด กองทัพพร้อมกับม้าและรถรบก็ล้อมเมืองไว้ และคนใช้นั้นบอกท่านว่า “อนิจจา นายของข้าพเจ้า เราจะทำอย่างไรดี” ท่านตอบว่า “อย่ากลัวเลย เพราะฝ่ายเรามีมากกว่าฝ่ายเขา” แล้วเอลีชาก็อธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเบิกตาของเขาเพื่อเขาจะได้เห็น” และพระเจ้าทรงเบิกตาของชายหนุ่มคนนั้น และเขาก็ได้เห็นและดูเถิด ที่ภูเขาก็เต็มไปด้วยม้า และรถรบเพลิงอยู่รอบเอลีชา"

เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดีมากของความเชื่อมโยงระหว่างจุดสนใจของเรากับการสัมผัสถึงสันติสุขท่ามกลางปัญหา เมื่อคนรับใช้ของเอลีชามองเห็นแต่โลกฝ่ายกายภาพ ความหวาดกลัวก็เข้าใจมตีเขาและสันติสุขก็มลายหายไปในทันที อย่างไรก็ตาม เอลีชามิได้เพ่งความสนใจไปที่สิ่งชั่วคราว แต่มองทะลุประตูนั้นไปเห็นสิ่งถาวรนิรันดร์ ที่ซึ่งทุกสิ่งอยู่ภายใต้การควบคุม

มันก็เป็นเช่นนั้นสำหรับคุณ ชีวิตของคุณถูกซ่อนไว้กับพระเจ้าในพระคริสต์ รากของคุณอยู่ในสวรรค์แม้ขณะที่คุณกำลังอ่านอยู่นี้ ความมั่นใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเรียบร้อยมาจากชีวิตนั้น ไม่ใช่ชีวิตนี้ อย่ามองหาสันติสุขจากสิ่งชั่วคราวของโลกนี้ สันติสุขเป็นสิทธิโดยกำเนิดของคุณ แต่การได้มีประสบการณ์กับมันนั้นมาจากชายแห่งสันติสุข - พระเยซูคริสต์ พระองค์เอง คุณจะได้เรียนรู้กับมันขณะเมื่อคุณมองทะลุสิ่งที่คุณมองเห็นในโลกแห่งธรรมชาติ และมองเห็นพระเจ้าแห่งตรีเอกานุภาพประทับอยู่ ณ บัลลังก์ของพระองค์

(แปลจาก http://gracewalkministries.blogspot.com/2010/07/knowing-peace-in-troubling-times.html โดย Steve McVey)

Comments