เป็นเหมือนพระฉาย (From Glory To Glory)
ความจริงเป้าหมายของคริสเตียนทุกคนก็คือการไปถึงความไพบูลย์ของพระคริสต์
แต่วิธีการไปถึงนั้นเราต้องเข้าใจความแตกต่างของวิธีแบบพันธสัญญาเก่าและวิธีแบบพันธสัญญาใหม่
ในพระธรรม 2 โครินทร์ บทที่ 3 ได้ชี้ให้เราเห็นความแตกต่างนี้อย่างชัดเจน
วิธีการแบบพันธสัญญาเก่า ก็คือการเชื่อว่าเราจะเป็นอย่างที่พระเจ้าอยากให้เป็นได้ด้วยการกระทำของตนเอง ซึ่งความจริงมันก็เป็นได้แค่เพียงการเปลี่ยนพฤติกรรมเท่านั้น (Behavior Modification) สังเกตว่าพระคัมภีร์เรียกความคิดและการกระทำแบบนี้ว่า "การปฏิบัติที่ประหารให้ตาย" (2คร.3:7) ความจริงวิธีนี้ก็ทำให้เกิดผลบางอย่างเช่นกัน ดังที่พระคัมภีร์บอกว่า "แต่ถ้าการปฏิบัติที่ประหารให้ตาย คือตามตัวอักษรที่จารึกไว้ที่แผ่นศิลานั้น ยังมาด้วยรัศมี แม้ว่าจะเป็นรัศมีที่จางหายไป ก็ยังทำให้พวกอิสราเอลแลดูหน้าของโมเสสไม่ได้ " แต่ผลนั้นไม่ใช่ผลที่แท้จริง ดูเหมือนอาจเกิดขึ้นได้เร็ว แต่เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้นไม่ยั่งยืน ดังที่พระคัมภีร์บอกต่อว่า "อันที่จริงรัศมีซึ่งได้ทรงประทานให้นั้นก็อับแสงไปแล้ว เพราะถูกรัศมีอันเลิศประเสริฐนั้นได้ส่องข่มเสียหมด"
ส่วนวิธีการแบบพันธสัญญาใหม่นั้นเชื่อว่าเราจะเป็นอย่างที่พระเจ้าอยากให้เป็นได้ด้วยพระเจ้าเอง (ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตในเรา) ซึ่งก็คือการเปลี่ยนแปลงชีวิตที่แท้จริง (Life Transformation) พระคัมภีร์บอกว่าเราสามารถเป็นเหมือนพระเจ้าได้ หรือสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ไม่ใช่ด้วยการพยายามกระทำอะไรของเรา แต่ด้วยการ
"แลดูพระสิริ" ดังใน "แต่เราทั้งหลายไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้ว จึงแลดูพระสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้า และตัวเราก็เปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระฉายขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป เช่นอย่างศักดิ์ศรีที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นพระวิญญาณ" (2คร.3:18) ซึ่งก็คือการที่เราจับจ้องอยู่ที่พระเยซูคริสต์ จับจ้องอยู่ที่ความงดงามของพระองค์ ยิ่งเราเห็นพระองค์มากเท่าไร รู้จักและเข้าใจพระองค์มากเท่าไร เราจะยิ่งเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น อาจจะช้าแต่ผลที่เกิดจะถาวร
สำหรับเราคริสเตียนในปัจจุบัน อาจหลงนำวิธีแบบพันธสัญญาเก่ามาใช้ได้โดยไม่รู้ตัว บางทีด้วยกฏเกณฑ์ เป้าหมาย ระบบ ระเบียบ ด้วยการบีบบังคับตนเองอย่างหนัก ก็ดูเหมือนจะเห็นผลบางอย่างเกิดขึ้นได้ แต่อย่าลืมว่าพระคัมภีร์บอกว่า รัศมีที่เกิดด้วยวิธีแบบพันธสัญญาเก่านั้นกำลังจางลงและจะอับแสงไปในที่สุด โมเสสเอาผ้ามาคลุมหน้าไม่ใช่เพื่อป้องกันสายตาของประชาชน แต่ไม่ต้องการให้ประชาชนเห็นอวสารของรัศมีนั้น (ก็คือโมเสสรู้อยู่แล้วว่ามันกำลังจะดับไป ก็เลยเอาผ้ามาคลุมเพื่อเมื่อมันดับไปแล้ว ประชาชนจะไม่รู้ว่าดับ แต่คิดว่ามันยังมีอยู่ภายใต้ผ้าคลุมนั้น) หากเราติดตามพระเจ้าด้วยการมีกรอบความคิดแบบพันธสัญญาเก่า ก็จะเป็นการที่เราเอาผ้ามาคลุมหน้าตัวเรานั่นเอง ใจเราก็ถูกปิดบังจากความจริงของพระเจ้า ใจเราก็จะแข็งกระด้างไป (2 คร.3:14)
การที่เราจะปลดผ้าคลุมหน้าของเราออกได้ก็ด้วยการ "หันกลับมาหาพระคริสต์" ดังใน
2 โครินธ์ [3:16] แต่เมื่อผู้ใดหันกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ผ้าคลุมนั้นก็จะเปิดออก"
พี่น้อง ให้เราหันมาหาพระเยซูคริสต์กันเถอะครับ ดูความงามของพระองค์ในพระคัมภีร์ ดูสิ่งที่พระองค์กระทำให้เราแล้วในพระคัมภีร์ พักสงบในพระองค์ ดำเนินตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่ด้วยกฎธรรมบัญญัติ แล้วตัวเราก็จะเปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระฉายขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป (from glory to glory)
เอเมน...
แต่วิธีการไปถึงนั้นเราต้องเข้าใจความแตกต่างของวิธีแบบพันธสัญญาเก่าและวิธีแบบพันธสัญญาใหม่
ในพระธรรม 2 โครินทร์ บทที่ 3 ได้ชี้ให้เราเห็นความแตกต่างนี้อย่างชัดเจน
วิธีการแบบพันธสัญญาเก่า ก็คือการเชื่อว่าเราจะเป็นอย่างที่พระเจ้าอยากให้เป็นได้ด้วยการกระทำของตนเอง ซึ่งความจริงมันก็เป็นได้แค่เพียงการเปลี่ยนพฤติกรรมเท่านั้น (Behavior Modification) สังเกตว่าพระคัมภีร์เรียกความคิดและการกระทำแบบนี้ว่า "การปฏิบัติที่ประหารให้ตาย" (2คร.3:7) ความจริงวิธีนี้ก็ทำให้เกิดผลบางอย่างเช่นกัน ดังที่พระคัมภีร์บอกว่า "แต่ถ้าการปฏิบัติที่ประหารให้ตาย คือตามตัวอักษรที่จารึกไว้ที่แผ่นศิลานั้น ยังมาด้วยรัศมี แม้ว่าจะเป็นรัศมีที่จางหายไป ก็ยังทำให้พวกอิสราเอลแลดูหน้าของโมเสสไม่ได้ " แต่ผลนั้นไม่ใช่ผลที่แท้จริง ดูเหมือนอาจเกิดขึ้นได้เร็ว แต่เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้นไม่ยั่งยืน ดังที่พระคัมภีร์บอกต่อว่า "อันที่จริงรัศมีซึ่งได้ทรงประทานให้นั้นก็อับแสงไปแล้ว เพราะถูกรัศมีอันเลิศประเสริฐนั้นได้ส่องข่มเสียหมด"
ส่วนวิธีการแบบพันธสัญญาใหม่นั้นเชื่อว่าเราจะเป็นอย่างที่พระเจ้าอยากให้เป็นได้ด้วยพระเจ้าเอง (ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตในเรา) ซึ่งก็คือการเปลี่ยนแปลงชีวิตที่แท้จริง (Life Transformation) พระคัมภีร์บอกว่าเราสามารถเป็นเหมือนพระเจ้าได้ หรือสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ไม่ใช่ด้วยการพยายามกระทำอะไรของเรา แต่ด้วยการ
"แลดูพระสิริ" ดังใน "แต่เราทั้งหลายไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้ว จึงแลดูพระสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้า และตัวเราก็เปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระฉายขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป เช่นอย่างศักดิ์ศรีที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นพระวิญญาณ" (2คร.3:18) ซึ่งก็คือการที่เราจับจ้องอยู่ที่พระเยซูคริสต์ จับจ้องอยู่ที่ความงดงามของพระองค์ ยิ่งเราเห็นพระองค์มากเท่าไร รู้จักและเข้าใจพระองค์มากเท่าไร เราจะยิ่งเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น อาจจะช้าแต่ผลที่เกิดจะถาวร
สำหรับเราคริสเตียนในปัจจุบัน อาจหลงนำวิธีแบบพันธสัญญาเก่ามาใช้ได้โดยไม่รู้ตัว บางทีด้วยกฏเกณฑ์ เป้าหมาย ระบบ ระเบียบ ด้วยการบีบบังคับตนเองอย่างหนัก ก็ดูเหมือนจะเห็นผลบางอย่างเกิดขึ้นได้ แต่อย่าลืมว่าพระคัมภีร์บอกว่า รัศมีที่เกิดด้วยวิธีแบบพันธสัญญาเก่านั้นกำลังจางลงและจะอับแสงไปในที่สุด โมเสสเอาผ้ามาคลุมหน้าไม่ใช่เพื่อป้องกันสายตาของประชาชน แต่ไม่ต้องการให้ประชาชนเห็นอวสารของรัศมีนั้น (ก็คือโมเสสรู้อยู่แล้วว่ามันกำลังจะดับไป ก็เลยเอาผ้ามาคลุมเพื่อเมื่อมันดับไปแล้ว ประชาชนจะไม่รู้ว่าดับ แต่คิดว่ามันยังมีอยู่ภายใต้ผ้าคลุมนั้น) หากเราติดตามพระเจ้าด้วยการมีกรอบความคิดแบบพันธสัญญาเก่า ก็จะเป็นการที่เราเอาผ้ามาคลุมหน้าตัวเรานั่นเอง ใจเราก็ถูกปิดบังจากความจริงของพระเจ้า ใจเราก็จะแข็งกระด้างไป (2 คร.3:14)
การที่เราจะปลดผ้าคลุมหน้าของเราออกได้ก็ด้วยการ "หันกลับมาหาพระคริสต์" ดังใน
2 โครินธ์ [3:16] แต่เมื่อผู้ใดหันกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ผ้าคลุมนั้นก็จะเปิดออก"
พี่น้อง ให้เราหันมาหาพระเยซูคริสต์กันเถอะครับ ดูความงามของพระองค์ในพระคัมภีร์ ดูสิ่งที่พระองค์กระทำให้เราแล้วในพระคัมภีร์ พักสงบในพระองค์ ดำเนินตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่ด้วยกฎธรรมบัญญัติ แล้วตัวเราก็จะเปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระฉายขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป (from glory to glory)
เอเมน...
Comments
Post a Comment