พระเยซูมาเพื่อปรนนิบัติ (Jesus Came to Serve)
(จากทำเทศนาของ Ps. Joseph Prince)
พระเจ้าทรงพูดถึงการทรงสร้างด้วยพระคัมภีร์แค่บทเดียว แต่ทรงพูดถึงการไถ่มากกว่า 10 บท เมื่อพระองค์พูดถึงพลับพลา พระองค์พูดถึง เลือดแกะ คันประทีปทองคำ โต๊ะขนมปังหน้าพระพักตร์ หีบพันธสัญญา และพูดถึงการประพรมเลือดบนหีบพันธสัญญานั้นในวันลบมลทินบาปของอิสราเอลทั้งประเทศ พระองค์ใช้มากกว่า 10 บทในการพูดถึงการไถ่
พระเจ้าทรงให้ ความสำคัญกับการไถ่มากกว่าการทรงสร้างเสียด้วยซ้ำ การทรงสร้างนั้นได้เสื่อมลงแล้ว ความหวังของเราทั้งหมดบัดนี้อยู่ในการไถ่ ความเชื่อของเราต้องอยู่ในการไถ่ไม่ใช่การทรงสร้าง โมเสสเมื่อขึ้นไปเข้าเฝ้าพระเจ้าบนภูเขาซีนายสี่สิบวันสี่สิบคืนนั้น คุณรู้ไหมว่าพระเจ้าไม่ได้ตรัสกับโมเสสด้วยเรื่องธรรมบัญญัติสิบประการ สี่สิบวันสี่สิบคืนพระองค์ตรัสกับโมเสสด้วยเรื่องของพลับพลา และทุกส่วนของพลับพลานั้นเล็งถึงพระบุตรของพระองค์ ทั้งความคิดและจิตใจของพระองค์มีแต่เรื่องพระบุตรของพระองค์ ถึงสง่าราศีและความงามของพระบุตรของพระองค์ และแน่นอนในวันสุดท้ายถึงจะมอบแผ่นศิลาทั้งสองแผ่นให้โมเสส ใจของพระเจ้าไม่ได้อยู่ที่ธรรมบัญญัติแต่อยู่ที่พระบุตรของ พระองค์ และการไถ่
ในพระธรรมอพยพบทที่ 20 พูดถึงธรรมบัญญัติ ทำไมทันทีที่พูดถึงธรรมบัญญัติจบ พระเจ้าทรงต่อด้วยเรื่องทาสชาวฮีบรู ทันทีในบทที่ 21 "ต่อไปนี้เป็นกฎหมายซึ่งเจ้าต้องประกาศให้ เขาทั้งหลายทราบไว้ ถ้าเจ้าจะซื้อคนฮีบรูไว้เป็นทาส เขาจะต้อง ปรนนิบัติเจ้าหกปี แต่ปีที่เจ็ดเขาจะได้เป็นอิสระโดยไม่ต้องเสียค่าไถ่ ทาสซึ่งได้มาแต่ผู้เดียวจงปล่อยเขาไปแต่ผู้เดียว ถ้าเขามีภรรยาต้องปล่อยภรรยาของเขาไปด้วย ถ้านายหาภรรยาให้เขา และภรรยานั้นเกิดลูกชายก็ดี หญิงก็ดีด้วยกัน ภรรยากับลูกนั้นจะเป็นคนของนาย เขาจะเป็นอิสระได้แต่ตัวผู้เดียว ถ้าทาสนั้นมากล่าวเป็นที่เข้าใจชัดเจนว่า ข้าพเจ้ารักนายและลูกเมียของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่อยากออกไปเป็นไท ให้นายพาทาสนั้นไปเฝ้าพระเจ้า พาเขาไปที่ประตูหรือไม้วงกบประตู แล้วให้นายเจาะหูเขาด้วยเหล็กหมาด เขาก็จะอยู่ปรนนิบัตินายต่อไปจนชีวิตหาไม่"
ข้อปฏิบัตินี้น่าสนใจมากสำหรับทาสชาวฮีบรู ทาสชาวฮีบรูทุกคนมีกฏหมายของพระเจ้านี้อยู่กับเขา เขาสามารถเป็นอิสระได้ในปีที่เจ็ดถ้าเขาต้องการ แต่หากเจ้านายของเขาให้ภรรยาแก่เขาและเขามีลูก และถ้าทาสนั้นเลือกที่จะไม่เป็นอิสระเพราะเขารักเจ้านายของเขา รักภรรยาของเขา รักลูกของเขา ก็ให้เจ้านายของเขา พาเขาไปที่ประตูที่ซึ่งเขาจะต้องถูกเจาะหู แล้วเมื่อนั้นเขาก็จะเป็นทาสสมัครของเจ้านายนั้นตลอดไป อะไรคือเหตุผลที่พระเจ้าพูดถึงเรื่องทาสนี้ทันทีที่พูดถึงธรรมบัญญัติจบ ใครคือทาสฮีบรูคนนี้?
ให้เราอ่านพระธรรมมัทธิว พระเยซูตรัสว่าบุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อปรนนิบัติ คุณเชื่ออย่างนั้นไหม?
พระองค์ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่พระองค์มาเพื่อปรนนิบัติ เอาละให้เราลืมไปสักพักในสิ่งที่เราได้เรียนมา ลืมว่าคุณมาคริสตจักรเพื่อรับใช้พระเจ้า ให้เราลืมเรื่องนี้ไปสักพักก่อน เพราะจริง ๆ แล้วสิ่งนั้นคือผล สิ่งเหล่านั้นคือสิ่งที่ออกมาจากสิ่งที่เราได้รับเข้าไป แล้วหันมาสนใจสิ่งที่พระเยซูพูดว่า พระองค์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อปรนนิบัติ และเพื่อจะมอบชีวิตให้เป็นค่าไถ่แก่คนเป็นอันมาก พระเยซูคริสต์ปรารถนาที่จะปรนนิบัติคุณวันนี้ พระองค์ปรารถนาที่จะรับใช้คุณ แต่เรามีหลักคำสอนที่สอนเราว่า
"คุณไม่ควรมาคริสตจักรเพื่อจะรับพระพรเท่านั้น ไม่ไช่มาคริสตจักรเพียงแค่ทำให้เก้าอี้อุ่นเท่านั้น คุณจำเป็นต้องทำบางสิ่ง"
จริง ๆ แล้วเราจะ "ให้" ได้ดี หากเราเรียนรู้อย่างดีในการ "รับ" เสียก่อน สิ่งที่ออกจากคุณนั้นขึ้นโดยตรงต่อสิ่งที่คุณได้รับเข้าไป คุณจำเป็นต้องให้พระเจ้าปรนนิบัติคุณ
เมื่อเรามาถึงความสัมพันธ์ในระดับกับมนุษย์ด้วยกันนั้น "การให้เป็นเหตุให้มีความสุขมากยิ่งกว่าการรับ" เป็นความสัมพันธ์ในแนวราบ
แต่เมื่อมาถึงความสัมพันธ์ในแนวตั้ง คือความสัมพันธ์กับพระเจ้า "การรับเป็นเหตุให้มีความ สุขมากยิ่งกว่าการให้"
พระเจ้าต้องการให้เรารับ พระองค์มามิใช่เพื่อรับการปรนนิบัติ พระองค์มาเพื่อปรนนิบัติ เราไม่มีอะไรจะไปปรนนิบัติพระองค์ หากเราไม่ให้พระองค์ปรนนิบัติเราจากความบริบูรณ์ของพระองค์! พระองค์คือพระเจ้านะพี่น้อง! ไม่ต้องรู้สึกฟ้องผิดที่จะรับจากพระองค์ พระองค์ต้องการให้เราเห็นพระองค์เป็นพระเจ้าที่เต็มบริบูรณ์
ครั้งหนึ่งพระเยซู พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์จำเป็นต้องไปที่สะมาเรีย จริง ๆ แล้วทางที่จะไปยังเยรูซาเล็มไม่จำเป็นต้องผ่านสะมาเรีย การผ่านสะมาเรียจะเป็นระยะทางที่ไกลกว่า แต่พระเยซูตั้งใจไปสะมาเรียเพื่อหญิงคนหนึ่ง หญิงที่สังคมไม่ยอมรับ หญิงที่ต้องการพระคุณของพระองค์ พระคัมภีร์บันทึกว่าพระองค์ประทับที่บ่อน้ำของยาโคบ ทรงเหนื่อยจากการเดินทาง คุณดีใจไหมครับว่าพระเจ้าทรงเดินทางไกลแสนไกลจากสวรรค์มาหาพวกเราทุกคน พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าร้อยเปอร์เซนต์และเป็นมนุษย์ร้อยเปอร์เซนต์ ดังนั้นพระองค์ทรงเหนื่อยและทรงนั่งพัก แล้วเหล่าสาวกก็ออกไปซื้ออาหารจะมาให้พระองค์ พระเยซูจึงอยู่ตามลำพัง แล้วหญิงนั้นก็มาเพื่อจะตักน้ำ จริง ๆ แล้วเขาจะไม่มาตักน้ำกันตอนบ่าย เขาจะตักน้ำกันตอนอากาศเย็น ๆ คือตอนเช้า แล้วทำไมหญิงนี้จึงมาตอนบ่าย ก็เพื่อจะหลีกเลี่ยงจากเสียงนินทา จากคนที่ชอบพูดเรื่องของเธอ เธอมาตอนนี้เพราะเธอรู้ตัวว่าเธอมีชีวิตที่ไม่ดี เธอมาเพื่อจะตักน้ำ และเราทราบดีเรื่องที่พระเยซูพูดกับเธอ และเมื่อพระเยซูปรนนิบัติเธอ และพูดกับเธอถึงสามีของเธอ เธอบอกว่าเธอไม่มีสามี พระเยซูตรัสว่าเธอพูดถูก เธอเคยมีสามี 5 คน และคนที่เธออยู่ด้วยตอนนี้ก็ไม่ใช่สามีของเธอ จากสามี 5 คนและ 1 คนตอนนี้ รวมเป็นชาย 6 คนในชีวิตของเธอ แต่สรรเสริญพระเจ้า เธอได้พบกับชายคนที่ 7 ที่บ่อน้ำนั้น และ 7 เป็นหมายเลขของการพักสงบและความสมบูรณ์
คุณเองก็ได้พบกับชายคนที่ 7 ชื่อของชายผู้นั้นก็คือ พระเยซู
พระคัมภีร์บอกว่าเธอประหลาดใจมาก และพระเยซูทรงสอนเธอถึงการนมัสการที่แท้จริง เธอละทิ้งหม้อน้ำของเธอไว้ที่นั่นเพราะพระเยซูสัญญากับเธอว่าถ้าเธอเชื่อในพระองค์แล้ว จะมีน้ำพลุ่งขึ้นมาจากภายในคือบ่อน้ำธำรงชีวิต ใครจะต้องการหม้อน้ำอีกหากมีบ่อน้ำแล้ว หญิงคนนี้ได้ละจากพระเยซูแล้ววิ่งเข้าไปในเมืองของเธอแล้วบอกกับทุกคนว่า "มาเถิดมาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่า ถึงสิ่งสารพัดซึ่งฉันได้กระทำ" ถึงตอนนี้เธอไม่ได้นึกถึงตัวเองแล้ว เธอไม่ได้ละอายแล้ว
มันมีบางอย่างจากการสำแดงความรักของพระเยซูที่มีต่อคุณที่จะทำให้คุณลืมตัวเอง แล้วกลายเป็นพระพรต่อโลก
หญิงคนนั้นก่อนหน้านั้นเธอเต็มไปได้ความอาย แต่ตอนนี้คุณได้เห็นเธอกล้า นั่นคือผลที่เกิดจากการได้พบกับชายคนที่ 7
และต่อไปนี้คือสิ่งที่ผมจะพูดถึง สาวกกลับมาจากการไปซื้ออาหาร และพวกเขามองที่พระเยซู แล้วพวกเขาถามพระองค์ว่ามีใครเอาอาหารมาให้พระองค์หรือ แสดงว่าพระองค์ดูสดชื่นจนเห็นได้ชัด พระองค์ดูมีกำลังขึ้น ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับพระองค์แน่ พระองค์ดูไม่เหนื่อยแล้ว เมื่อสาวกถามพระองค์ว่ามีใครเอาอาหารมาให้พระองค์หรือ พระองค์ตรัสว่า "อาหารของเราคือ การกระทำตามพระทัยของพระองค์ ผู้ทรงใช้เรามา" เอาละมาดูครับ อะไรคือน้ำพระทัยพระเจ้าในการส่งพระองค์มา คือมาช่วย มาปรนนิบัติ มารับใช้
ต้องมีบางคนมาหาพระเยซูแล้วยอมให้พระองค์รับใช้ มีบางคนมาหาพระองค์แล้วเอาจากพระองค์ ทำให้พระองค์สดชื่นขึ้น เอาละถ้าคุณเอาจากผมตลอดเวลา ผมก็จะเหี่ยวแห้งไป แต่ไมใช่สำหรับพระเยซู พระองค์มาเพื่อรับใช้ ยิ่งมีคนยอมให้พระองค์รับใช้มากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้พระองค์สดชื่นขึ้น มีกำลังมากขึ้นเท่านั้น พระองค์จะยิ่งเกิดผลบริบูรณ์มากขึ้น เราต้องรับใช้ให้ตรงใจของพระองค์ การรับใช้ของเราก็คือการยอมให้พระองค์รับใช้เรา
ไม่มีใครเป็นเหมือนพระเยซู พระเยซูมิได้มีลักษณะเหมือนในภาพวาดสมัยเก่าที่ดูผอมแห้งแรงน้อย พระองค์มิได้มีลักษณะอย่างนั้นขณะเมื่อเรียกสาวกให้ติดตามพระองค์ พระองค์ต้องมีลักษณะบางอย่างที่สามารถดึงดูดให้ชาวประมงที่หยาบกระด้างและไร้การศึกษาละทิ้งทุกสิ่งแล้วตามพระองค์ไปได้ เมื่อพระองค์ตรัสว่า "จงตามเรามา"
นี่คือพระเจ้าของเรา! นี่คือพระเจ้าของคุณ!
พระเยซูผู้คือมนุษย์และพระเจ้า ทรงนอบน้อมและทรงสง่าราศีในเวลาเดียวกัน พระองค์ทรงงดงาม พระองค์อ่อนสุภาพแต่ไม่ทรงอ่อนแอ เมื่อเรามองพระเยซู เราจะหลงรักพระองค์ ไม่มีผู้ใดเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เมื่อพวกทหารมาเพื่อจะจับพระองค์ พวกเขากลับไปแล้ว บอกว่าไม่มีใครพูดเหมือนผู้นี้ เมื่อพวกเขามาจับพระองค์ที่สวน เกทเซมาเน และพวกเขามาพร้อมกับอาวุธครบมือ แล้วพระองค์ก้าวออกไปแล้วถามว่า "พวกท่านกำลังหาผู้ใด" แล้วพวกเขาตอบว่า "เรามาหาคนชื่อเยซู ชาวนาซาเร็ท" แล้วพระองค์ตรัสในภาษากรีกว่า "เราเป็น" ซึ่งคือพระนามของพระเจ้า คุณรู้ไหมว่าพวกเขาเป็นอย่างไรเมื่อได้ยินดังนั้น พวกเขาทั้งหมดล้มลง! แล้วพระองค์ก็รอให้พวกเขาลุกขึ้นมาเพื่อจับพระองค์ แล้วพวกเขาก็ลุกขึ้นมาอีก พระองค์ถามอีกว่า "พวกท่านมาหาผู้ใด" พวกเขาบอกว่า "มาหาคนชื่อเยซู ชาวนาซาเร็ท" พระองค์ตรัสว่า "เราบอกท่านแล้วว่าเราคือผู้นั้น ถ้าท่านแสวงหาเราก็จงปล่อยคนเหล่านี้ไปเถิด" คือพวกสาวกของพระองค์
นี่คือพระเจ้าของเรา ไม่มีใครเอาชีวิตของพระองค์ไปได้ พระองค์ไม่ได้ถูกฆ่า พระองค์สละชีวิตของพระองค์เอง พระองค์บอกว่าบุตรมนุษย์มาเพื่อสละชีวิตของพระองค์ พระองค์บอกว่า "เรามีสิทธิที่จะสละชีวิตนั้น และมีสิทธิที่จะรับคืนอีก คำกำชับนี้เราได้รับมาจากพระบิดาของเรา" พระองค์ไม่ได้ถูกฆ่าแต่พระองค์ยอมสละชีวิตของพระองค์เอง!
พระองค์มาเพื่อรับใช้ เมื่อพระองค์ล้างเท้าสาวกในคืนสุดท้ายนั้น เปโตรห้ามพระองค์ว่า "ทำไมพระองค์ทำอย่างนี้ พระองค์จะล้าง เท้าข้าพระองค์ได้อย่างไร" คุณบางคนอาจคิดว่าจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร เราจะให้ราชาแห่งสวรรค์มาล้างเท้าเรา มารับใช้เราตามความต้องการของเราหรือ แต่พระองค์ต้องการทำอย่างนั้น ในทุก ๆ วันในชีวิตเรา! วันต่อวัน! และถ้าเราไม่ยอมให้พระองค์ทำ ลองดูที่พระเยซูพูดกับเปโตร "ถ้าเราไม่ล้างท่านแล้ว ท่านจะมีส่วนในเราไม่ได้"
มีบางสิ่งที่สวยงามสำหรับภาพของผู้รับใช้นี้ มีพระคัมภีร์บอกว่า ในปฐมกาลพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าก่อนอยู่แล้ว แต่พระองค์ทรงเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ทำไม? ก็เพราะว่าทาสชาวฮีบรูนั้นเขารักภรรยาของเขา เขารักเจ้านายของเขา คุณรู้ใช่ไหมว่า ทุกครั้งที่พระองค์เสด็จไปที่ไหน ไม่มีใคร สามารถทำร้ายพระองค์ได้ มีคนจะจับพระองค์ จะเอาหินปาพระองค์ พระองค์ก็เสด็จออกมาโดยปลอดภัยเสมอ พระองค์สามารถที่จะตัดสินใจกลับไปยังสวรรค์ของพระองค์ได้เสมอเมื่อไรก็ได้ที่พระองค์ต้องการ เมื่อพระองค์รักษาคนเจ็บบางคนแล้ว หรือตอนที่พระองค์เลี้ยงคนห้าพันคนแล้ว ตอนไหนก็ได้ที่พระองค์ต้องการ พระองค์สามารถบอกกับพระบิดาได้ว่า "พระบิดา งานนี้ยากเกินไป ไม่มีใครต้องการข้าพระองค์ พระบิดาข้าพระองค์จะกลับบ้านแล้ว" คุณรู้อะไรไหม? พระองค์ก็จะได้กลับสวรรค์ทันที! แต่เพราะสิ่งที่กฎหมายทาสชาวฮีบรูได้เขียนไว้ พระองค์ต้องละภรรยาของพระองค์ ลูก ๆ ของพระองค์ไว้ พระองค์จะได้กลับสวรรค์ตามลำพังเท่านั้น พระองค์สามารถทำอย่างนั้นได้ ผมขอย้ำว่าพระองค์สามารถทำอย่างนั้นได้ แต่พระองค์ตรัสว่า "ไม่ เรารักเจ้านายของเรา" ซึ่งหมายถึงพระบิดาในสวรรค์ "เรารักภรรยาของเรา" ซึ่งก็คือคริสตจักรของพระองค์ "เรารักลูก ๆ ของเรา" ซึ่งก็คือลูก ๆ ของพระเจ้าทุกคน และเพราะว่าพระองค์ทำอย่างนั้น พระเจ้าตรัสว่าพระองค์ต้องถูกนำไปที่ประตูซึ่งก็คือไม้กางเขนนั้น และที่นั่นพระองค์ทรงถูกตรึง พระองค์ทรงถูกแทงทะลุ!
ในฮีบรูบทที่ 10 ซึ่งนำพระคำจากสดุดี 40 บอกว่า "เครื่องสัตวบูชา และเครื่องบูชาอื่นๆพระองค์ไม่ทรงประสงค์ แต่พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมกายสำหรับข้าพระองค์" ซึ่งแตกต่างจากพระธรรมสดุดีที่ว่า "เครื่องสัตวบูชาและเครื่องบูชา พระองค์ไม่ทรงประสงค์พระองค์ทรงเบิกหูของข้าพระองค์" คำว่า "เบิกหู" ในภาษาเดิมคือการถูกแทงทะลุ นั่นคือภาพของทาสชาวฮีบรูที่หูของเขาถูกเจาะ เพื่อเขาจะเป็นทาสตลอดไป! คุณได้ยินไหมว่า พระองค์ยังทรงเป็นทาสนั้นอยู่บนสวรรค์ เพราะเมื่อพระองค์ถูกแทง พระองค์จะได้อยู่กับเจ้านายของพระองค์ ภรรยาของพระองค์ ลูก ๆ ของพระองค์ตลอดไปในฐานะทาสผู้รับใช้ พระองค์สามารถเลือกทางที่ง่ายกว่า แต่พระองค์ไม่ได้เลือก พระองค์เห็นว่าเราตกอยู่ในความบาปของเรา พระองค์เห็นเราหลงเจิ่นไป พระองค์เห็นเราเป็นเหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง พระองค์ไม่ได้เห็นเราเป็นลูกแห่งความชั่วร้าย พระองค์ไม่ได้เห็นเราเป็นผู้ที่มักกบฎ พระองค์ทรงเห็นเราเป็นแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง เราต้องเห็นคนเหมือนอย่างที่พระเยซูเห็น พระเยซูทรงมีใจแห่งผู้เลี้ยง
พระองค์ต้องการปรนนิบัติคุณ เพราะพระองค์ทรงรักคุณ คุณรักพระองค์ไหม?
บางครั้งผมคิดว่า เมื่อทาสชาวฮีบรูนั้นกำลังนอนหลับอยู่ในตอนกลางคืน กลางดึกนั้นภรรยาของเขาพลิกกายหันมาทางเขา ได้ยินเสียงหายใจแรงของเขา และเธอได้เห็นหูที่ถูกเจาะของเขา แล้วเธอก็บอกกับตัวเองว่า "เขาสามารถจากไปเป็นอิสระได้ แต่เขารักฉัน และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาจึงอยู่ข้างกายฉันวันนี้"
คุณรู้อะไรไหม? พระองค์ทรงสามารถกลับไปอย่างอิสระได้ แล้วละพวกเราทั้งหมดไว้กับความวุ่นวายทั้งหลายนี้ แต่พระองค์ไม่! พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขนนั้น และสถิตกับเราตลอดไป เพื่อจะเป็นผู้หนึ่งท่ามกลางเรา เพื่อไถ่เรา
พี่น้อง พระองค์ต้องการปรนนิบัติเรา
คุณอาจถามว่าแล้วเราไม่ต้องรับใช้พระองค์หรือ จริง ๆ คือมีเวลาที่เราจะรับใช้พระองค์ แต่นั่นมาหลังจากที่คุณรับจากพระองค์แล้ว มีหญิง 2 คนคือ มารีย์ และมารธา เมื่อพระองค์มา ที่บ้านของพวกเธอ มารธาก็ยุ่งอยู่กับการรับใช้ แต่มารีย์นั่งอยู่ที่พระบาทของพระเยซู พักสงบอยู่ที่นั่น และฟังพระองค์ มารธาที่อยู่ในครัว และนี่คือสิ่งที่เมื่อเธอไม่ได้รับจากพระองค์ก่อน เธอออกมาแล้วพูดว่า "พระองค์เจ้าข้า พระองค์ไม่สนพระทัยหรือ ซึ่งน้องสาวของข้าพระองค์ปล่อยให้ข้าพระองค์ทำการปรนนิบัติแต่คนเดียว" เธอตำหนิทีเดียวถึง 2 คน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณรับใช้ไม่ได้ออกมาจากความเต็มบริบูรณ์ของคุณ แต่ออกมาจากความว่างเปล่า คุณคิดว่าพระเจ้าน่าจะพอพระทัยจากการรับใช้ของคุณ และเมื่อคุณเห็นพระเจ้าอวยพรคนที่ดูเหมือนไม่ได้รับใช้มาก คุณก็โกรธ คุณตำหนิพระเจ้าและตำหนิผู้นั้น คุณแค่กำลังสติแตก แต่จริง ๆ แล้วพระเยซูก็ไม่ได้ตำหนิมารธาที่เธอรับใช้มาก แต่บอกว่า "มารธา มารธาเอ๋ย เธอกระวนกระวายและร้อนใจด้วยหลายสิ่งนัก สิ่งซึ่งต้องการนั้นมีแต่สิ่งเดียว มารีย์ได้เลือกเอาส่วนดีนั้น ใครจะชิงเอาไปจากเธอไม่ได้" พระองค์บอกว่า "สิ่งเดียว" มารธากระวนกระวายและร้อนใจด้วยหลายสิ่งนั้น ก็เพราะเธอไม่ได้ทำ "สิ่งเดียว" ที่ว่านั้น นั่นก็คือการยอมให้พระองค์ปรนนิบัติเธอ เธอต้องการที่จะรับใช้พระองค์ แต่มารีย์ต้องการให้พระเยซูปรนนิบัติเธอ และพระเยซูปกป้องมารีย์ พระองค์พอพระทัยในมารีย์ มารีย์ทำให้พระองค์รู้สึกว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มารธามองพระเยซูเป็นเหมือนชายคนหนึ่งที่กำลังเหนื่อยและต้องการการปรนนิบัติ บางครั้งผมรู้สึกว่ามันเป็นความหยิ่งอย่างหนึ่งที่เราทำเหมือนกับว่าพระเจ้าต้องการเรา เราต่างหากที่ต้องการพระองค์
เอาละในส่วนของงานรับใช้ก็ไม่ควรถูกละเลย คุณรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับมารีย์ ในอีกไม่กี่บทถัดมา มารีย์คือหญิงคนเดียวที่ได้เจิมพระกายของพระเยซูในเวลาที่ถูกต้อง เพราะเหล่าหญิงที่ต้องการไปเจิมพระศพพระองค์ในเช้าตรู่นั้น ไม่ได้มีโอกาส พวกเธอต้องการทำสิ่งที่ดีแต่ผิดเวลา ในขณะที่มารีย์ผู้ซึ่งได้ทำ "สิ่งเดียว" นั้น คือผู้เดียวที่ได้ทำสิ่งดีและถูกเเวลา! ฮาเลลูยา!
พระองค์ต้องการปรนนิบัติคุณ คุณจะยอมให้พระองค์ปรนนิบัติ คุณไหม?
พระองค์รักที่จะทำอย่างนั้น
เมื่อบุตรน้อยหลงหายได้กลับบ้าน บิดาของเขาไม่ได้ตำหนิเขาสักคำ ตรงกันข้ามบิดาของเขาสั่งให้จัดงานเลี้ยง เพราะพระเจ้ารักที่จะให้
บุตรน้อยนั้นยอมให้พระองค์ให้ ขณะที่พี่ชายบอกว่า เขารับใช้บิดามาหลายปี เขารักษาคำสั่งต่าง ๆ แต่บิดาไม่ได้ให้อะไรเขา
สังเกตไหมว่า เขาไม่มีความเชื่อว่าพระเจ้ารักที่จะให้ เพราะเขายุ่งกับการรับใช้พระเจ้าเกินไป ยุ่งกับการทำให้พระเจ้าพอพระทัย แล้วพอบุตรน้อยหลงหายกลับมา ไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ได้รับทุกสิ่ง!
พระเจ้าต้องการลูกที่ยอมที่รับทุกสิ่งจากพระองค์ และเมื่อคุณรับจากพระองค์จนเต็มแล้ว คุณก็จะร้องว่า สรรเสริญ พระเจ้า! และเมื่อนั้นคุณก็จะรับใช้พระองค์ออกมาจากความเต็ม บริบูรณ์ของคุณ
ที่น่าเศร้าสำหรับปัจจุบันนี้ก็คือ นักเทศน์ที่เทศน์ออกมาจากความว่างเปล่าของเขา ออกมาจากความเจ็บปวดของเขา ถ้าคุณเจ็บปวด จงอย่าไปที่ธรรมาสน์ เพราะคนที่เจ็บปวดก็จะทำให้คนอื่นเจ็บปวด จงไปที่ธรรมาสน์ด้วยใจที่เต็มบริบูรณ์ ซึ่งนั่นหมายความว่า งานรับใช้นั้นต้องได้รับการปรนนิบัติจากพระเจ้าก่อน เขาต้องได้รับการสำแดง เขาต้องเข้ามาหาพระเยซูแล้ว ดื่มจากพระองค์ ดื่ม แล้วก็ดื่ม แล้วจึงจะมีน้ำพลุ่งออกมาเป็นพระพรต่อผู้อื่น
คุณได้เรียนรู้อะไรบ้างตอนนี้? พระองค์ต้องการอะไรจากคุณ? พระองค์ต้องการให้คุณปรนนิบัติพระองค์? หรือพระองค์ต้องการให้คุณยอมให้พระองค์ปรนนิบัติ?
ลองดูพระเยซูในพระธรรมวิวรณ์ บทที่ 1 พระเยซูปรากฎแก่ยอห์น และพระองค์ตรัสว่า "เราเป็นอัลฟา และโอเมกา" และยอห์นบันทึกว่า "ข้าพเจ้าจึงเหลียว มาทางพระสุรเสียงที่ตรัสแก่ข้าพเจ้านั้น ครั้นแล้วข้าพเจ้าก็เห็น คันประทีปทองคำเจ็ดคัน และในท่ามกลางคันประทีปเหล่านั้นมีผู้หนึ่งเหมือนกับบุตรมนุษย์ ทรงฉลองพระองค์กรอมพระบาท และทรงคาดผ้ารัดประคดทองคำที่พระอุระ" ผ้ารัดประคดนั้น คืออุปกรณ์ของทาส! คุณจำได้ไหมเมื่อพระเยซูล้างเท้าสาวกนั้น พระองค์ใส่ผ้ารัดประคดนั้นก่อน แล้วจึงล้างเท้าสาวก
แม้พระองค์สูงส่ง แม้พระองค์เต็มด้วยสง่าราศี สูงเหนือสิทธิอำนาจใด ๆ ทั้งหลาย สูงเหนือนามใด ๆ พระองค์ยังทรงเป็นทาสผู้รับใช้ ผ้ารัดประคดทองคำนั้น
พระองค์ต้องการล้างเท้าคุณ พระองค์ต้องการปรนนิบัติคุณ คุณจะหยุดที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ไหม แล้วเริ่มที่จะพักสงบในพระองค์
ผมเชื่อว่าภรรยาของทาสชาวฮีบรูนั้น ในกลางดึกที่ได้หันไปเห็นหูที่ถูกเจาะของเขา และเธอพูดว่า "เขาสามารถเป็นอิสระได้ แต่เขารักฉัน"
ผมอธิษฐานขอให้คุณเห็นพระองค์แบบนั้นเสมอว่า พระองค์รักคุณ แม้ว่าสูงเหนือทุกสิ่ง แต่พระองค์ยังทรงเป็นทาสผู้รับใช้
ขอพระเจ้าอวยพร...
พระเจ้าทรงพูดถึงการทรงสร้างด้วยพระคัมภีร์แค่บทเดียว แต่ทรงพูดถึงการไถ่มากกว่า 10 บท เมื่อพระองค์พูดถึงพลับพลา พระองค์พูดถึง เลือดแกะ คันประทีปทองคำ โต๊ะขนมปังหน้าพระพักตร์ หีบพันธสัญญา และพูดถึงการประพรมเลือดบนหีบพันธสัญญานั้นในวันลบมลทินบาปของอิสราเอลทั้งประเทศ พระองค์ใช้มากกว่า 10 บทในการพูดถึงการไถ่
พระเจ้าทรงให้ ความสำคัญกับการไถ่มากกว่าการทรงสร้างเสียด้วยซ้ำ การทรงสร้างนั้นได้เสื่อมลงแล้ว ความหวังของเราทั้งหมดบัดนี้อยู่ในการไถ่ ความเชื่อของเราต้องอยู่ในการไถ่ไม่ใช่การทรงสร้าง โมเสสเมื่อขึ้นไปเข้าเฝ้าพระเจ้าบนภูเขาซีนายสี่สิบวันสี่สิบคืนนั้น คุณรู้ไหมว่าพระเจ้าไม่ได้ตรัสกับโมเสสด้วยเรื่องธรรมบัญญัติสิบประการ สี่สิบวันสี่สิบคืนพระองค์ตรัสกับโมเสสด้วยเรื่องของพลับพลา และทุกส่วนของพลับพลานั้นเล็งถึงพระบุตรของพระองค์ ทั้งความคิดและจิตใจของพระองค์มีแต่เรื่องพระบุตรของพระองค์ ถึงสง่าราศีและความงามของพระบุตรของพระองค์ และแน่นอนในวันสุดท้ายถึงจะมอบแผ่นศิลาทั้งสองแผ่นให้โมเสส ใจของพระเจ้าไม่ได้อยู่ที่ธรรมบัญญัติแต่อยู่ที่พระบุตรของ พระองค์ และการไถ่
ในพระธรรมอพยพบทที่ 20 พูดถึงธรรมบัญญัติ ทำไมทันทีที่พูดถึงธรรมบัญญัติจบ พระเจ้าทรงต่อด้วยเรื่องทาสชาวฮีบรู ทันทีในบทที่ 21 "ต่อไปนี้เป็นกฎหมายซึ่งเจ้าต้องประกาศให้ เขาทั้งหลายทราบไว้ ถ้าเจ้าจะซื้อคนฮีบรูไว้เป็นทาส เขาจะต้อง ปรนนิบัติเจ้าหกปี แต่ปีที่เจ็ดเขาจะได้เป็นอิสระโดยไม่ต้องเสียค่าไถ่ ทาสซึ่งได้มาแต่ผู้เดียวจงปล่อยเขาไปแต่ผู้เดียว ถ้าเขามีภรรยาต้องปล่อยภรรยาของเขาไปด้วย ถ้านายหาภรรยาให้เขา และภรรยานั้นเกิดลูกชายก็ดี หญิงก็ดีด้วยกัน ภรรยากับลูกนั้นจะเป็นคนของนาย เขาจะเป็นอิสระได้แต่ตัวผู้เดียว ถ้าทาสนั้นมากล่าวเป็นที่เข้าใจชัดเจนว่า ข้าพเจ้ารักนายและลูกเมียของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่อยากออกไปเป็นไท ให้นายพาทาสนั้นไปเฝ้าพระเจ้า พาเขาไปที่ประตูหรือไม้วงกบประตู แล้วให้นายเจาะหูเขาด้วยเหล็กหมาด เขาก็จะอยู่ปรนนิบัตินายต่อไปจนชีวิตหาไม่"
ข้อปฏิบัตินี้น่าสนใจมากสำหรับทาสชาวฮีบรู ทาสชาวฮีบรูทุกคนมีกฏหมายของพระเจ้านี้อยู่กับเขา เขาสามารถเป็นอิสระได้ในปีที่เจ็ดถ้าเขาต้องการ แต่หากเจ้านายของเขาให้ภรรยาแก่เขาและเขามีลูก และถ้าทาสนั้นเลือกที่จะไม่เป็นอิสระเพราะเขารักเจ้านายของเขา รักภรรยาของเขา รักลูกของเขา ก็ให้เจ้านายของเขา พาเขาไปที่ประตูที่ซึ่งเขาจะต้องถูกเจาะหู แล้วเมื่อนั้นเขาก็จะเป็นทาสสมัครของเจ้านายนั้นตลอดไป อะไรคือเหตุผลที่พระเจ้าพูดถึงเรื่องทาสนี้ทันทีที่พูดถึงธรรมบัญญัติจบ ใครคือทาสฮีบรูคนนี้?
ให้เราอ่านพระธรรมมัทธิว พระเยซูตรัสว่าบุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อปรนนิบัติ คุณเชื่ออย่างนั้นไหม?
พระองค์ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่พระองค์มาเพื่อปรนนิบัติ เอาละให้เราลืมไปสักพักในสิ่งที่เราได้เรียนมา ลืมว่าคุณมาคริสตจักรเพื่อรับใช้พระเจ้า ให้เราลืมเรื่องนี้ไปสักพักก่อน เพราะจริง ๆ แล้วสิ่งนั้นคือผล สิ่งเหล่านั้นคือสิ่งที่ออกมาจากสิ่งที่เราได้รับเข้าไป แล้วหันมาสนใจสิ่งที่พระเยซูพูดว่า พระองค์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อปรนนิบัติ และเพื่อจะมอบชีวิตให้เป็นค่าไถ่แก่คนเป็นอันมาก พระเยซูคริสต์ปรารถนาที่จะปรนนิบัติคุณวันนี้ พระองค์ปรารถนาที่จะรับใช้คุณ แต่เรามีหลักคำสอนที่สอนเราว่า
"คุณไม่ควรมาคริสตจักรเพื่อจะรับพระพรเท่านั้น ไม่ไช่มาคริสตจักรเพียงแค่ทำให้เก้าอี้อุ่นเท่านั้น คุณจำเป็นต้องทำบางสิ่ง"
จริง ๆ แล้วเราจะ "ให้" ได้ดี หากเราเรียนรู้อย่างดีในการ "รับ" เสียก่อน สิ่งที่ออกจากคุณนั้นขึ้นโดยตรงต่อสิ่งที่คุณได้รับเข้าไป คุณจำเป็นต้องให้พระเจ้าปรนนิบัติคุณ
เมื่อเรามาถึงความสัมพันธ์ในระดับกับมนุษย์ด้วยกันนั้น "การให้เป็นเหตุให้มีความสุขมากยิ่งกว่าการรับ" เป็นความสัมพันธ์ในแนวราบ
แต่เมื่อมาถึงความสัมพันธ์ในแนวตั้ง คือความสัมพันธ์กับพระเจ้า "การรับเป็นเหตุให้มีความ สุขมากยิ่งกว่าการให้"
พระเจ้าต้องการให้เรารับ พระองค์มามิใช่เพื่อรับการปรนนิบัติ พระองค์มาเพื่อปรนนิบัติ เราไม่มีอะไรจะไปปรนนิบัติพระองค์ หากเราไม่ให้พระองค์ปรนนิบัติเราจากความบริบูรณ์ของพระองค์! พระองค์คือพระเจ้านะพี่น้อง! ไม่ต้องรู้สึกฟ้องผิดที่จะรับจากพระองค์ พระองค์ต้องการให้เราเห็นพระองค์เป็นพระเจ้าที่เต็มบริบูรณ์
ครั้งหนึ่งพระเยซู พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์จำเป็นต้องไปที่สะมาเรีย จริง ๆ แล้วทางที่จะไปยังเยรูซาเล็มไม่จำเป็นต้องผ่านสะมาเรีย การผ่านสะมาเรียจะเป็นระยะทางที่ไกลกว่า แต่พระเยซูตั้งใจไปสะมาเรียเพื่อหญิงคนหนึ่ง หญิงที่สังคมไม่ยอมรับ หญิงที่ต้องการพระคุณของพระองค์ พระคัมภีร์บันทึกว่าพระองค์ประทับที่บ่อน้ำของยาโคบ ทรงเหนื่อยจากการเดินทาง คุณดีใจไหมครับว่าพระเจ้าทรงเดินทางไกลแสนไกลจากสวรรค์มาหาพวกเราทุกคน พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าร้อยเปอร์เซนต์และเป็นมนุษย์ร้อยเปอร์เซนต์ ดังนั้นพระองค์ทรงเหนื่อยและทรงนั่งพัก แล้วเหล่าสาวกก็ออกไปซื้ออาหารจะมาให้พระองค์ พระเยซูจึงอยู่ตามลำพัง แล้วหญิงนั้นก็มาเพื่อจะตักน้ำ จริง ๆ แล้วเขาจะไม่มาตักน้ำกันตอนบ่าย เขาจะตักน้ำกันตอนอากาศเย็น ๆ คือตอนเช้า แล้วทำไมหญิงนี้จึงมาตอนบ่าย ก็เพื่อจะหลีกเลี่ยงจากเสียงนินทา จากคนที่ชอบพูดเรื่องของเธอ เธอมาตอนนี้เพราะเธอรู้ตัวว่าเธอมีชีวิตที่ไม่ดี เธอมาเพื่อจะตักน้ำ และเราทราบดีเรื่องที่พระเยซูพูดกับเธอ และเมื่อพระเยซูปรนนิบัติเธอ และพูดกับเธอถึงสามีของเธอ เธอบอกว่าเธอไม่มีสามี พระเยซูตรัสว่าเธอพูดถูก เธอเคยมีสามี 5 คน และคนที่เธออยู่ด้วยตอนนี้ก็ไม่ใช่สามีของเธอ จากสามี 5 คนและ 1 คนตอนนี้ รวมเป็นชาย 6 คนในชีวิตของเธอ แต่สรรเสริญพระเจ้า เธอได้พบกับชายคนที่ 7 ที่บ่อน้ำนั้น และ 7 เป็นหมายเลขของการพักสงบและความสมบูรณ์
คุณเองก็ได้พบกับชายคนที่ 7 ชื่อของชายผู้นั้นก็คือ พระเยซู
พระคัมภีร์บอกว่าเธอประหลาดใจมาก และพระเยซูทรงสอนเธอถึงการนมัสการที่แท้จริง เธอละทิ้งหม้อน้ำของเธอไว้ที่นั่นเพราะพระเยซูสัญญากับเธอว่าถ้าเธอเชื่อในพระองค์แล้ว จะมีน้ำพลุ่งขึ้นมาจากภายในคือบ่อน้ำธำรงชีวิต ใครจะต้องการหม้อน้ำอีกหากมีบ่อน้ำแล้ว หญิงคนนี้ได้ละจากพระเยซูแล้ววิ่งเข้าไปในเมืองของเธอแล้วบอกกับทุกคนว่า "มาเถิดมาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่า ถึงสิ่งสารพัดซึ่งฉันได้กระทำ" ถึงตอนนี้เธอไม่ได้นึกถึงตัวเองแล้ว เธอไม่ได้ละอายแล้ว
มันมีบางอย่างจากการสำแดงความรักของพระเยซูที่มีต่อคุณที่จะทำให้คุณลืมตัวเอง แล้วกลายเป็นพระพรต่อโลก
หญิงคนนั้นก่อนหน้านั้นเธอเต็มไปได้ความอาย แต่ตอนนี้คุณได้เห็นเธอกล้า นั่นคือผลที่เกิดจากการได้พบกับชายคนที่ 7
และต่อไปนี้คือสิ่งที่ผมจะพูดถึง สาวกกลับมาจากการไปซื้ออาหาร และพวกเขามองที่พระเยซู แล้วพวกเขาถามพระองค์ว่ามีใครเอาอาหารมาให้พระองค์หรือ แสดงว่าพระองค์ดูสดชื่นจนเห็นได้ชัด พระองค์ดูมีกำลังขึ้น ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับพระองค์แน่ พระองค์ดูไม่เหนื่อยแล้ว เมื่อสาวกถามพระองค์ว่ามีใครเอาอาหารมาให้พระองค์หรือ พระองค์ตรัสว่า "อาหารของเราคือ การกระทำตามพระทัยของพระองค์ ผู้ทรงใช้เรามา" เอาละมาดูครับ อะไรคือน้ำพระทัยพระเจ้าในการส่งพระองค์มา คือมาช่วย มาปรนนิบัติ มารับใช้
ต้องมีบางคนมาหาพระเยซูแล้วยอมให้พระองค์รับใช้ มีบางคนมาหาพระองค์แล้วเอาจากพระองค์ ทำให้พระองค์สดชื่นขึ้น เอาละถ้าคุณเอาจากผมตลอดเวลา ผมก็จะเหี่ยวแห้งไป แต่ไมใช่สำหรับพระเยซู พระองค์มาเพื่อรับใช้ ยิ่งมีคนยอมให้พระองค์รับใช้มากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้พระองค์สดชื่นขึ้น มีกำลังมากขึ้นเท่านั้น พระองค์จะยิ่งเกิดผลบริบูรณ์มากขึ้น เราต้องรับใช้ให้ตรงใจของพระองค์ การรับใช้ของเราก็คือการยอมให้พระองค์รับใช้เรา
ไม่มีใครเป็นเหมือนพระเยซู พระเยซูมิได้มีลักษณะเหมือนในภาพวาดสมัยเก่าที่ดูผอมแห้งแรงน้อย พระองค์มิได้มีลักษณะอย่างนั้นขณะเมื่อเรียกสาวกให้ติดตามพระองค์ พระองค์ต้องมีลักษณะบางอย่างที่สามารถดึงดูดให้ชาวประมงที่หยาบกระด้างและไร้การศึกษาละทิ้งทุกสิ่งแล้วตามพระองค์ไปได้ เมื่อพระองค์ตรัสว่า "จงตามเรามา"
นี่คือพระเจ้าของเรา! นี่คือพระเจ้าของคุณ!
พระเยซูผู้คือมนุษย์และพระเจ้า ทรงนอบน้อมและทรงสง่าราศีในเวลาเดียวกัน พระองค์ทรงงดงาม พระองค์อ่อนสุภาพแต่ไม่ทรงอ่อนแอ เมื่อเรามองพระเยซู เราจะหลงรักพระองค์ ไม่มีผู้ใดเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เมื่อพวกทหารมาเพื่อจะจับพระองค์ พวกเขากลับไปแล้ว บอกว่าไม่มีใครพูดเหมือนผู้นี้ เมื่อพวกเขามาจับพระองค์ที่สวน เกทเซมาเน และพวกเขามาพร้อมกับอาวุธครบมือ แล้วพระองค์ก้าวออกไปแล้วถามว่า "พวกท่านกำลังหาผู้ใด" แล้วพวกเขาตอบว่า "เรามาหาคนชื่อเยซู ชาวนาซาเร็ท" แล้วพระองค์ตรัสในภาษากรีกว่า "เราเป็น" ซึ่งคือพระนามของพระเจ้า คุณรู้ไหมว่าพวกเขาเป็นอย่างไรเมื่อได้ยินดังนั้น พวกเขาทั้งหมดล้มลง! แล้วพระองค์ก็รอให้พวกเขาลุกขึ้นมาเพื่อจับพระองค์ แล้วพวกเขาก็ลุกขึ้นมาอีก พระองค์ถามอีกว่า "พวกท่านมาหาผู้ใด" พวกเขาบอกว่า "มาหาคนชื่อเยซู ชาวนาซาเร็ท" พระองค์ตรัสว่า "เราบอกท่านแล้วว่าเราคือผู้นั้น ถ้าท่านแสวงหาเราก็จงปล่อยคนเหล่านี้ไปเถิด" คือพวกสาวกของพระองค์
นี่คือพระเจ้าของเรา ไม่มีใครเอาชีวิตของพระองค์ไปได้ พระองค์ไม่ได้ถูกฆ่า พระองค์สละชีวิตของพระองค์เอง พระองค์บอกว่าบุตรมนุษย์มาเพื่อสละชีวิตของพระองค์ พระองค์บอกว่า "เรามีสิทธิที่จะสละชีวิตนั้น และมีสิทธิที่จะรับคืนอีก คำกำชับนี้เราได้รับมาจากพระบิดาของเรา" พระองค์ไม่ได้ถูกฆ่าแต่พระองค์ยอมสละชีวิตของพระองค์เอง!
พระองค์มาเพื่อรับใช้ เมื่อพระองค์ล้างเท้าสาวกในคืนสุดท้ายนั้น เปโตรห้ามพระองค์ว่า "ทำไมพระองค์ทำอย่างนี้ พระองค์จะล้าง เท้าข้าพระองค์ได้อย่างไร" คุณบางคนอาจคิดว่าจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร เราจะให้ราชาแห่งสวรรค์มาล้างเท้าเรา มารับใช้เราตามความต้องการของเราหรือ แต่พระองค์ต้องการทำอย่างนั้น ในทุก ๆ วันในชีวิตเรา! วันต่อวัน! และถ้าเราไม่ยอมให้พระองค์ทำ ลองดูที่พระเยซูพูดกับเปโตร "ถ้าเราไม่ล้างท่านแล้ว ท่านจะมีส่วนในเราไม่ได้"
มีบางสิ่งที่สวยงามสำหรับภาพของผู้รับใช้นี้ มีพระคัมภีร์บอกว่า ในปฐมกาลพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าก่อนอยู่แล้ว แต่พระองค์ทรงเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ทำไม? ก็เพราะว่าทาสชาวฮีบรูนั้นเขารักภรรยาของเขา เขารักเจ้านายของเขา คุณรู้ใช่ไหมว่า ทุกครั้งที่พระองค์เสด็จไปที่ไหน ไม่มีใคร สามารถทำร้ายพระองค์ได้ มีคนจะจับพระองค์ จะเอาหินปาพระองค์ พระองค์ก็เสด็จออกมาโดยปลอดภัยเสมอ พระองค์สามารถที่จะตัดสินใจกลับไปยังสวรรค์ของพระองค์ได้เสมอเมื่อไรก็ได้ที่พระองค์ต้องการ เมื่อพระองค์รักษาคนเจ็บบางคนแล้ว หรือตอนที่พระองค์เลี้ยงคนห้าพันคนแล้ว ตอนไหนก็ได้ที่พระองค์ต้องการ พระองค์สามารถบอกกับพระบิดาได้ว่า "พระบิดา งานนี้ยากเกินไป ไม่มีใครต้องการข้าพระองค์ พระบิดาข้าพระองค์จะกลับบ้านแล้ว" คุณรู้อะไรไหม? พระองค์ก็จะได้กลับสวรรค์ทันที! แต่เพราะสิ่งที่กฎหมายทาสชาวฮีบรูได้เขียนไว้ พระองค์ต้องละภรรยาของพระองค์ ลูก ๆ ของพระองค์ไว้ พระองค์จะได้กลับสวรรค์ตามลำพังเท่านั้น พระองค์สามารถทำอย่างนั้นได้ ผมขอย้ำว่าพระองค์สามารถทำอย่างนั้นได้ แต่พระองค์ตรัสว่า "ไม่ เรารักเจ้านายของเรา" ซึ่งหมายถึงพระบิดาในสวรรค์ "เรารักภรรยาของเรา" ซึ่งก็คือคริสตจักรของพระองค์ "เรารักลูก ๆ ของเรา" ซึ่งก็คือลูก ๆ ของพระเจ้าทุกคน และเพราะว่าพระองค์ทำอย่างนั้น พระเจ้าตรัสว่าพระองค์ต้องถูกนำไปที่ประตูซึ่งก็คือไม้กางเขนนั้น และที่นั่นพระองค์ทรงถูกตรึง พระองค์ทรงถูกแทงทะลุ!
ในฮีบรูบทที่ 10 ซึ่งนำพระคำจากสดุดี 40 บอกว่า "เครื่องสัตวบูชา และเครื่องบูชาอื่นๆพระองค์ไม่ทรงประสงค์ แต่พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมกายสำหรับข้าพระองค์" ซึ่งแตกต่างจากพระธรรมสดุดีที่ว่า "เครื่องสัตวบูชาและเครื่องบูชา พระองค์ไม่ทรงประสงค์พระองค์ทรงเบิกหูของข้าพระองค์" คำว่า "เบิกหู" ในภาษาเดิมคือการถูกแทงทะลุ นั่นคือภาพของทาสชาวฮีบรูที่หูของเขาถูกเจาะ เพื่อเขาจะเป็นทาสตลอดไป! คุณได้ยินไหมว่า พระองค์ยังทรงเป็นทาสนั้นอยู่บนสวรรค์ เพราะเมื่อพระองค์ถูกแทง พระองค์จะได้อยู่กับเจ้านายของพระองค์ ภรรยาของพระองค์ ลูก ๆ ของพระองค์ตลอดไปในฐานะทาสผู้รับใช้ พระองค์สามารถเลือกทางที่ง่ายกว่า แต่พระองค์ไม่ได้เลือก พระองค์เห็นว่าเราตกอยู่ในความบาปของเรา พระองค์เห็นเราหลงเจิ่นไป พระองค์เห็นเราเป็นเหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง พระองค์ไม่ได้เห็นเราเป็นลูกแห่งความชั่วร้าย พระองค์ไม่ได้เห็นเราเป็นผู้ที่มักกบฎ พระองค์ทรงเห็นเราเป็นแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง เราต้องเห็นคนเหมือนอย่างที่พระเยซูเห็น พระเยซูทรงมีใจแห่งผู้เลี้ยง
พระองค์ต้องการปรนนิบัติคุณ เพราะพระองค์ทรงรักคุณ คุณรักพระองค์ไหม?
บางครั้งผมคิดว่า เมื่อทาสชาวฮีบรูนั้นกำลังนอนหลับอยู่ในตอนกลางคืน กลางดึกนั้นภรรยาของเขาพลิกกายหันมาทางเขา ได้ยินเสียงหายใจแรงของเขา และเธอได้เห็นหูที่ถูกเจาะของเขา แล้วเธอก็บอกกับตัวเองว่า "เขาสามารถจากไปเป็นอิสระได้ แต่เขารักฉัน และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาจึงอยู่ข้างกายฉันวันนี้"
คุณรู้อะไรไหม? พระองค์ทรงสามารถกลับไปอย่างอิสระได้ แล้วละพวกเราทั้งหมดไว้กับความวุ่นวายทั้งหลายนี้ แต่พระองค์ไม่! พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขนนั้น และสถิตกับเราตลอดไป เพื่อจะเป็นผู้หนึ่งท่ามกลางเรา เพื่อไถ่เรา
พี่น้อง พระองค์ต้องการปรนนิบัติเรา
คุณอาจถามว่าแล้วเราไม่ต้องรับใช้พระองค์หรือ จริง ๆ คือมีเวลาที่เราจะรับใช้พระองค์ แต่นั่นมาหลังจากที่คุณรับจากพระองค์แล้ว มีหญิง 2 คนคือ มารีย์ และมารธา เมื่อพระองค์มา ที่บ้านของพวกเธอ มารธาก็ยุ่งอยู่กับการรับใช้ แต่มารีย์นั่งอยู่ที่พระบาทของพระเยซู พักสงบอยู่ที่นั่น และฟังพระองค์ มารธาที่อยู่ในครัว และนี่คือสิ่งที่เมื่อเธอไม่ได้รับจากพระองค์ก่อน เธอออกมาแล้วพูดว่า "พระองค์เจ้าข้า พระองค์ไม่สนพระทัยหรือ ซึ่งน้องสาวของข้าพระองค์ปล่อยให้ข้าพระองค์ทำการปรนนิบัติแต่คนเดียว" เธอตำหนิทีเดียวถึง 2 คน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณรับใช้ไม่ได้ออกมาจากความเต็มบริบูรณ์ของคุณ แต่ออกมาจากความว่างเปล่า คุณคิดว่าพระเจ้าน่าจะพอพระทัยจากการรับใช้ของคุณ และเมื่อคุณเห็นพระเจ้าอวยพรคนที่ดูเหมือนไม่ได้รับใช้มาก คุณก็โกรธ คุณตำหนิพระเจ้าและตำหนิผู้นั้น คุณแค่กำลังสติแตก แต่จริง ๆ แล้วพระเยซูก็ไม่ได้ตำหนิมารธาที่เธอรับใช้มาก แต่บอกว่า "มารธา มารธาเอ๋ย เธอกระวนกระวายและร้อนใจด้วยหลายสิ่งนัก สิ่งซึ่งต้องการนั้นมีแต่สิ่งเดียว มารีย์ได้เลือกเอาส่วนดีนั้น ใครจะชิงเอาไปจากเธอไม่ได้" พระองค์บอกว่า "สิ่งเดียว" มารธากระวนกระวายและร้อนใจด้วยหลายสิ่งนั้น ก็เพราะเธอไม่ได้ทำ "สิ่งเดียว" ที่ว่านั้น นั่นก็คือการยอมให้พระองค์ปรนนิบัติเธอ เธอต้องการที่จะรับใช้พระองค์ แต่มารีย์ต้องการให้พระเยซูปรนนิบัติเธอ และพระเยซูปกป้องมารีย์ พระองค์พอพระทัยในมารีย์ มารีย์ทำให้พระองค์รู้สึกว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มารธามองพระเยซูเป็นเหมือนชายคนหนึ่งที่กำลังเหนื่อยและต้องการการปรนนิบัติ บางครั้งผมรู้สึกว่ามันเป็นความหยิ่งอย่างหนึ่งที่เราทำเหมือนกับว่าพระเจ้าต้องการเรา เราต่างหากที่ต้องการพระองค์
เอาละในส่วนของงานรับใช้ก็ไม่ควรถูกละเลย คุณรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับมารีย์ ในอีกไม่กี่บทถัดมา มารีย์คือหญิงคนเดียวที่ได้เจิมพระกายของพระเยซูในเวลาที่ถูกต้อง เพราะเหล่าหญิงที่ต้องการไปเจิมพระศพพระองค์ในเช้าตรู่นั้น ไม่ได้มีโอกาส พวกเธอต้องการทำสิ่งที่ดีแต่ผิดเวลา ในขณะที่มารีย์ผู้ซึ่งได้ทำ "สิ่งเดียว" นั้น คือผู้เดียวที่ได้ทำสิ่งดีและถูกเเวลา! ฮาเลลูยา!
พระองค์ต้องการปรนนิบัติคุณ คุณจะยอมให้พระองค์ปรนนิบัติ คุณไหม?
พระองค์รักที่จะทำอย่างนั้น
เมื่อบุตรน้อยหลงหายได้กลับบ้าน บิดาของเขาไม่ได้ตำหนิเขาสักคำ ตรงกันข้ามบิดาของเขาสั่งให้จัดงานเลี้ยง เพราะพระเจ้ารักที่จะให้
บุตรน้อยนั้นยอมให้พระองค์ให้ ขณะที่พี่ชายบอกว่า เขารับใช้บิดามาหลายปี เขารักษาคำสั่งต่าง ๆ แต่บิดาไม่ได้ให้อะไรเขา
สังเกตไหมว่า เขาไม่มีความเชื่อว่าพระเจ้ารักที่จะให้ เพราะเขายุ่งกับการรับใช้พระเจ้าเกินไป ยุ่งกับการทำให้พระเจ้าพอพระทัย แล้วพอบุตรน้อยหลงหายกลับมา ไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ได้รับทุกสิ่ง!
พระเจ้าต้องการลูกที่ยอมที่รับทุกสิ่งจากพระองค์ และเมื่อคุณรับจากพระองค์จนเต็มแล้ว คุณก็จะร้องว่า สรรเสริญ พระเจ้า! และเมื่อนั้นคุณก็จะรับใช้พระองค์ออกมาจากความเต็ม บริบูรณ์ของคุณ
ที่น่าเศร้าสำหรับปัจจุบันนี้ก็คือ นักเทศน์ที่เทศน์ออกมาจากความว่างเปล่าของเขา ออกมาจากความเจ็บปวดของเขา ถ้าคุณเจ็บปวด จงอย่าไปที่ธรรมาสน์ เพราะคนที่เจ็บปวดก็จะทำให้คนอื่นเจ็บปวด จงไปที่ธรรมาสน์ด้วยใจที่เต็มบริบูรณ์ ซึ่งนั่นหมายความว่า งานรับใช้นั้นต้องได้รับการปรนนิบัติจากพระเจ้าก่อน เขาต้องได้รับการสำแดง เขาต้องเข้ามาหาพระเยซูแล้ว ดื่มจากพระองค์ ดื่ม แล้วก็ดื่ม แล้วจึงจะมีน้ำพลุ่งออกมาเป็นพระพรต่อผู้อื่น
คุณได้เรียนรู้อะไรบ้างตอนนี้? พระองค์ต้องการอะไรจากคุณ? พระองค์ต้องการให้คุณปรนนิบัติพระองค์? หรือพระองค์ต้องการให้คุณยอมให้พระองค์ปรนนิบัติ?
ลองดูพระเยซูในพระธรรมวิวรณ์ บทที่ 1 พระเยซูปรากฎแก่ยอห์น และพระองค์ตรัสว่า "เราเป็นอัลฟา และโอเมกา" และยอห์นบันทึกว่า "ข้าพเจ้าจึงเหลียว มาทางพระสุรเสียงที่ตรัสแก่ข้าพเจ้านั้น ครั้นแล้วข้าพเจ้าก็เห็น คันประทีปทองคำเจ็ดคัน และในท่ามกลางคันประทีปเหล่านั้นมีผู้หนึ่งเหมือนกับบุตรมนุษย์ ทรงฉลองพระองค์กรอมพระบาท และทรงคาดผ้ารัดประคดทองคำที่พระอุระ" ผ้ารัดประคดนั้น คืออุปกรณ์ของทาส! คุณจำได้ไหมเมื่อพระเยซูล้างเท้าสาวกนั้น พระองค์ใส่ผ้ารัดประคดนั้นก่อน แล้วจึงล้างเท้าสาวก
แม้พระองค์สูงส่ง แม้พระองค์เต็มด้วยสง่าราศี สูงเหนือสิทธิอำนาจใด ๆ ทั้งหลาย สูงเหนือนามใด ๆ พระองค์ยังทรงเป็นทาสผู้รับใช้ ผ้ารัดประคดทองคำนั้น
พระองค์ต้องการล้างเท้าคุณ พระองค์ต้องการปรนนิบัติคุณ คุณจะหยุดที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ไหม แล้วเริ่มที่จะพักสงบในพระองค์
ผมเชื่อว่าภรรยาของทาสชาวฮีบรูนั้น ในกลางดึกที่ได้หันไปเห็นหูที่ถูกเจาะของเขา และเธอพูดว่า "เขาสามารถเป็นอิสระได้ แต่เขารักฉัน"
ผมอธิษฐานขอให้คุณเห็นพระองค์แบบนั้นเสมอว่า พระองค์รักคุณ แม้ว่าสูงเหนือทุกสิ่ง แต่พระองค์ยังทรงเป็นทาสผู้รับใช้
ขอพระเจ้าอวยพร...
Comments
Post a Comment